เจาะลึกคำสั่งศาล“แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯแค่ชั่วคราว
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ เอกฉันท์ 9 ต่อ 0 รับคำร้อง จากสมาชิกวุฒิสภา กรณีขอให้วินิจฉัยสถานภาพความเป็นนายกรัฐมนตรีของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ว่าสิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ ตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสอง
พร้อมกันนี้ศาลมีมติ เสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ นายกรัฐมนตรีชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยขั้นสุดท้าย โดยระหว่างนี้รัฐบาลเตรียมกระบวนการมอบหมาย รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่แทน ตามขั้นตอนกฎหมาย
สาระคำร้อง
คำร้องดังกล่าวยื่นโดย ประธานวุฒิสภา อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 หลังจากมีคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งมี ส.ว. 36 คน ร่วมลงชื่อ
ผู้ร้องมองว่า เนื้อหาในคลิปอาจเข้าข่ายผิดมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) ซึ่งว่าด้วย การขาดคุณสมบัติความซื่อสัตย์สุจริตและเป็นกลางทางการเมือง อีกทั้งระบุว่า นายกรัฐมนตรีแสดงท่าที เฉยเมยต่อประเด็นความมั่นคง และ มีท่าทีอ่อนข้อทางการทูต ต่อกัมพูชา
ท่าทีของผู้ถูกร้อง
น.ส.แพทองธาร ยอมรับว่าเป็นเสียงของตนจริง และชี้แจงว่าเป็น การพูดคุยในลักษณะทางการทูต เพื่อประโยชน์ด้านความสัมพันธ์และอธิปไตยของประเทศ ไม่ใช่การดำเนินนโยบายที่ขัดต่อหน้าที่หรือจริยธรรมของนายกรัฐมนตรี
กระบวนการพิจารณาของศาล
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คำร้องเข้าหลักเกณฑ์ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (4) จึงมีมติรับคำร้องไว้พิจารณา และให้ผู้ถูกร้อง ยื่นคำชี้แจงภายใน 15 วัน
ในส่วนของคำขอให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ศาลมีมติเสียงข้างมากว่า “มีเหตุอันควรสงสัย” จึงมีคำสั่งให้ หยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป
เสียงข้างน้อย เสนอใช้มาตรการเฉพาะกิจ
อย่างไรก็ตาม ตุลาการเสียงข้างน้อย 2 คน ได้แก่
- นาย นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
- นาย อดิศร สิทธิวิรัชธรรม
เห็นว่า ข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอ ที่จะรับฟังข้อกล่าวหาได้ในชั้นต้น จึงเสนอให้ใช้ “มาตรการเฉพาะกิจ” ได้แก่ ห้ามผู้ถูกร้องใช้อำนาจในด้านความมั่นคง การต่างประเทศ และการคลัง จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยขั้นสุดท้าย แทนการหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยสิ้นเชิง
หมายเหตุ: การหยุดปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีชั่วคราวไม่ใช่การพ้นจากตำแหน่ง แต่เป็นมาตรการชั่วคราวที่ใช้ในระหว่างกระบวนการพิจารณา เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน หากต่อมาศาลวินิจฉัยว่าไม่ผิด ความเป็นนายกรัฐมนตรีจะยังคงอยู่ต่อไปโดยชอบ.