โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

‘อิ๊งค์’ ทำเรื่องร้ายแรง

ไทยโพสต์

อัพเดต 1 กรกฎาคม 2568 เวลา 5.10 น. • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

หนักใจ!

คือคำพูดของประธานศาลรัฐธรรมนูญ "นครินทร์ เมฆไตรรัตน์"

หนักใจกับคดีที่สมาชิกวุฒิสภาจำนวน ๓๖ คน ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ ถอดถอน "แพทองธาร ชินวัตร" ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ทำไมต้องหนักใจ?

ก็คงตอบคำถามแทนท่านไม่ได้หรอกครับ แต่คนไทยจำนวนมากก็รู้สึกหนักใจกับการเป็นนายกรัฐมนตรีของ "แพทองธาร" มานานพอควรแล้ว

หนักใจเพราะ ไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิง

ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤตทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การต่างประเทศ แต่เรามีนายกรัฐมนตรีที่ไม่เอาไหน ไร้ความรู้ ไร้ภาวะผู้นำ

มีคุณสมบัติอย่างเดียวที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเลือกเป็นนายกฯ คือเป็นลูกสาว "ทักษิณ"

วันนี้ (๑ กรกฎาคม) ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะพิจารณาคดีถอดถอนนายกฯ แพทองธารครับ ว่าจะรับหรือไม่รับไว้พิจารณา

ประเด็นที่ถูกจับตามองอย่างมากคือ ศาลจะสั่งให้ "แพทองธาร" หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่

คดีที่เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ศาลเคยสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่มาแล้ว เช่น กรณี "นายกฯ ๘ ปี" ของ "ลุงตู่"

แต่กรณีตั้งถุงขนมเป็นรัฐมนตรีของ "เศรษฐา ทวีสิน" ศาลรัฐธรรมนูญไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามคำร้องของ ๔๐ สว.

กรณี "แพทองธาร" อยู่ที่ดุลพินิจของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะรับไว้พิจารณาหรือไม่ ถ้ารับจะสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ด้วยหรือไม่

ไปดูคำร้องของ ๓๖ สว.กันก่อนครับ หลักๆ มี ๒ ประเด็น

๑.ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐ วรรคหนึ่ง (๔) ประกอบมาตรา ๑๖๐ (๔) และ (๕) หรือไม่

๒.ขอศาลรัฐธรรมนูญโปรดมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๘๒ วรรคสอง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๗๑ ประกอบข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๔๐ (๘)

สารตั้งต้นของคำร้องมาจากคลิปสนทนาระหว่าง "แพทองธาร" กับ "ฮุน เซน" ที่ "ฮุน เซน" เป็นคนปล่อย ขณะที่รัฐบาลพยายามสู้ในประเด็นว่า คลิปเสียงดังกล่าวไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้ เพราะถูกแอบบันทึกโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

โดย "แพทองธาร" ไม่รู้ตัว

ขณะที่ประเด็นของ ๓๖ สว.คือ คำพูดของ "แพทองธาร" ซึ่งละเมิดมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง

… "ไม่อยากให้ uncle ไปฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา เพราะว่าพอไปฟังฝั่งตรงข้ามอย่างพวกแม่ทัพภาค ๒ อย่างเนี้ยค่ะ เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย ซึ่งพอไปฟังอย่างนั้นเสร็จ ก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกไม่ชอบใจ หรือว่าโกรธ เพราะจริง ๆ แล้วไม่ใช่ความตั้งใจของเราเลยค่ะ"

"เขาอยากจะดูเท่ เขาก็พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติค่ะ"

"บอกว่าจริงๆ แล้วถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้"

"จริงๆ แล้วท่านจะเอาอะไรจริงๆ ให้บอกอิ๊งค์ได้เลย ยกหูบอกก็ได้ อันไหนไม่เป็นข่าว ก็คือไม่เป็นข่าว อันนั้นที่หลุดไป มันหลุดเพราะสื่อ เพราะไม่ได้คุยกับอิ๊งค์แค่สองคน มันคุยกันเป็นกลุ่มนะพี่ มันเลยหลุดน่ะ แต่ถ้าคุยกับอิ๊งค์สองคน มันไม่มีหลุดอยู่แล้ว"

คำร้อง สว.บอกว่า หากผู้ถูกร้องมีเจตนาในการเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อประโยชน์ของประเทศไทยจริง สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักการและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใสตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ไม่มีเหตุผลความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องแอบเจรจากันเป็นการส่วนตัว และเรียกผู้นำประเทศที่กำลังมีการปะทะกันทางการทหารหรือสภาวะสงครามที่มีความขัดแย้งกันทางบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยว่า "uncle" และเรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ว่า "ฝั่งตรงข้าม"

ทีนี้ลองเทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาว่ากรณีไหนศาลรับหลักฐาน คลิปเสียงที่มีการแอบบันทึกไว้พิจารณา และไม่พิจารณา

ไปที่ไม่รับพิจารณาก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๗๘๒/๒๕๖๔

เป็นคดีหมิ่นประมาท ซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัว ไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงหรือเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป ศาลก็ไม่รับฟังคลิปเสียงที่เกิดจากการลักลอบสนทนา

การกระทำของนาย ธ. ที่แอบนำเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่มาทำการบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างจำเลยกับนาย ธ. และคู่สนทนาในระหว่างการพบปะพูดคุยกัน โดยจำเลยไม่ทราบว่าขณะที่ตนสนทนาอยู่นั้น การสนทนาได้ถูกบันทึกลงในโทรศัพท์เคลื่อนที่แล้ว ย่อมเป็นการกระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของจำเลยอย่างชัดแจ้ง จึงเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบซึ่งต้องห้ามมิให้รับฟังพยานหลักฐานนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๖ แม้หลักกฎหมายดังกล่าวจะใช้ตัดพยานหลักฐานของเจ้าพนักงานของรัฐเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน มิให้เจ้าพนักงานของรัฐแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๖ ไม่ได้บัญญัติห้ามมิให้นำไปใช้กับการแสวงหาพยานหลักฐานของบุคคลธรรมดา จึงนำไปใช้บังคับแก่กรณีที่เอกชนผู้เสียหายเป็นผู้ได้พยานหลักฐานนั้นมาจากการกระทำโดยมิชอบด้วย ส่วนเหตุยกเว้นให้สามารถรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๖/๑ ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังและต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ทั้งปวงแห่งคดีโดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังที่กฎหมายกำหนดไว้ คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท อันเป็นการพิพาทระหว่างเอกชนด้วยกัน และเป็นความผิดอันยอมความได้ พฤติการณ์ของความผิดในคดีจึงมิใช่เรื่องร้ายแรงที่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือผลประโยชน์สาธารณะของประชาชนโดยส่วน; รวมทั้งลักษณะของคดียังอยู่ในวิสัยที่โจทก์ทั้งสองสามารถหาพยานหลักฐานด้วยวิธีการอันสุจริต ชอบด้วยกฎหมาย มาพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ การอนุญาตให้รับฟังพยานหลักฐานที่โจทก์ทั้งสองได้มาจากการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบเท่ากับอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองนำพยานหลักฐานมาเพิ่มเติมในส่วนที่ตนนำสืบบกพร่องไว้ เพื่อจะลงโทษจำเลยแต่เพียงอย่างเดียว ทั้งที่เป็นการละเมิดต่อสิทธิส่วนบุคคลของจำเลยและกระทบกระเทือนต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน อันเป็นการขัดต่อหลักการพื้นฐานของการดำเนินคดีอาญาโดยทั่วไป การรับฟังพยานหลักฐานนั้น มิได้เป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรม แต่กลับจะเป็นผลเสียที่กระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญาหรือสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชนมากกว่า จึงไม่อาจรับฟังบันทึกเสียงสนทนาและข้อความจากการถอดเทปการสนทนาเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้

ที่รับพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๐/๒๕๖๓

เป็นคดีเจ้าพนักงานเรียกรับสินบน ซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรง คลิปเสียงมีความชัดเจนมีคุณค่าเชิงพิสูจน์ ศาลรับฟังคลิปเสียงดังกล่าวเป็นพยานหลักฐาน

จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน ผ่านการว่าความมาเป็นจำนวนมาก ย่อมคุ้นเคยกับการซักถามพยานในรูปแบบต่างๆ เป็นอย่างดี ข้อเท็จจริงปรากฏตามบันทึกการถอดเทปสนทนาระหว่างจำเลยกับ ภ. ว่า ภ.พยายามขอร้องให้จำเลยช่วยเหลือ อ.เพื่อมิให้ถูกดำเนินคดี ซึ่งจำเลยก็มิได้ปฏิเสธ เพียงแต่รอให้ ภ.เสนอจำนวนเงิน และเมื่อ ภ.ซักถาม จำเลยยังพูดอธิบายรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินคดีแก่ อ. เพื่อโน้มน้าวให้ ภ.เห็นว่าข้อหานำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรมีอัตราโทษสูง ส่อแสดงว่าจำเลยตอบคำถามของ ภ.ด้วยความสมัครใจ แม้การแอบบันทึกภาพและเสียงการสนทนาระหว่างจำเลยกับ ภ.ตามแผ่นซีดีหมาย วจ.๑ และ วจ.๒ จะเป็นการแสวงหาหลักฐานโดยมิชอบตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๖ ก็ตาม แต่ ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๖/๑ บัญญัติให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบได้ ถ้าการรับฟังพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญา ดังนั้น แม้แผ่นซีดีหมาย วจ.๑ และ วจ.๒ รวมทั้งบันทึกการถอดเทปสนทนาดังกล่าวจะได้มาโดยมิชอบ ศาลก็นำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานได้

ครับ…คงจะได้คำตอบ คลายข้อสงสัยในระดับหนึ่ง.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยโพสต์

‘ผี’ที่หนังไทยไม่ทำ

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘ตกข่าว’

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความยอดนิยม