บันไดขึ้นฟ้าผ่าหุบเขาแห่ง 'ซีจั้ง' (ทิเบต) บนทางหลวงสาย G4218 จาก'หลินจือ'ทะลวงหลังคาโลกสู่ 'ลาซา'
การเดินทางไปยังซีจั้งอาจจะง่ายดายขึ้นในยุคของเรา แต่ในยุคที่เจ้าหญิงเหวินเฉิงแห่งราชวงศ์ถังเดินทางไปวิวาหะกับพระเจ้าซงซัน กัมโป แห่งอาณาจักรถู่ปัว หรือ ทิเบตนั้น องค์หญิงต้องใช้เวลาเดินทางจากนครฉางอันไปยังนาครลาซานานถึง 1 ปีเลยทีเดียว แม้กระทั่งเร็วๆ นี้ การเดินทางด้วยถนนข้าม 'เขตปกครองตนเองซีจั้ง' หรือ ทิเบต ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากเย็น
แต่วันนี้เรากำลังเดินทางอย่างสะดวกสบายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง บนทางหลวงสาย G4218 หรือทางหลวงควบคุมสายหย่าอัน-เย่เฉิง (雅安-叶城高速公路) เป็นทางหลวงที่เชื่อมต่อ 'จีนตะวันตก' เข้ากับมณฑลเสฉวน มันเนิ่มต้นจากเมืองหย่าอัน ในมณฑลเสฉวนไปจรดที่เย่เฉิงที่เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
แต่เส้นทางส่วนใหญ่ตัดผ่านดินแดน 'ซีจั้ง' หรือทิเบตทั้งผืน ทะลุทะลวงภูเขาสูงแห่งหลังคาโลก หากปราศจากเส้นทางนี้เมืองใหญ่ๆ ของซีจั้งจะไม่ถูกเชื่อมต่อจากโลกภายนอก ซึ่งรวมถึง หลินจือ หรือ ญิงชิ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาสูงที่มีหิมะจับตลอดทั้งปี เป็นเทือกเป็นกลุ่มก้อนที่ยากจะตัดผ่านเข้าไป แม้ว่าภูมิทัศน์เช่นนี้จะทำให้หลินจืองดงามอย่างยิ่ง
ความยากลำบากในการสร้างเส้นทางนี้ เป็นที่ประจักษ์แก่ที่ประชุมปรึกษาการเมืองของประชาชนจีน ซึ่งได้ดำเนินการวิจัยในปี 2015 แล้วพบว่าแม้จะมีความพยายามมาเป็นเวลา 60 ปีในการเปลี่ยนวิธีการขนส่งแบบดั้งเดิมในที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต แต่โครงสร้างพื้นฐานยังคงขาดอยู่ โดยกล่าวว่า "เรามีภูเขาที่ดี ป่าไม้ที่ดี ผู้คนที่ดี แต่ถนนไม่ดี" และนั่นนำไปสู่ความพยายามสร้างสาธารณูปโภคเพื่อเชื่อมซีจั้งเข้ากับโลกภายนอก
เส้นทางนี้ยังไม่แล้วเสร็จ หากแล้วเสร็จมีความยาวถึง 4,000 กิโลเมตร ส่วนที่ยากที่สุดในการสร้างอยู่ระหว่างหย่าอัน-คังติ้ง ในมณฑลเสฉวนซึ่งต้องไต่ความสูง 2,000 เมตรในระยะ 130 กิโลเมตร ทำให้ได้ชื่อว่า 'บันไดไต่ฟ้า' ในขณะที่เส้นทางทั้งสายได้รับฉายาว่า 'ถนนฟ้า' (天路) แต่เส้นทางจากหลินจือไปทางตะวันออก ซึ่งหมายถึงเส้นทางมุ่งไปยังลาซานั้น ถือว่าลำบากน้อยกว่าในการสร้าง
เส้นทางจากหลินจือไปยังลาซานี่เอง คือทางที่คณะผู้สื่อข่าวและนักวิชาการจาก 8 ประเทศที่ได้รับเชิญจากกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เดินทางไป เป็นระยะทาง 409 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงไม่นับการแวะพักตามรายทาง รวมๆ แล้วหากต้องการแวะดูทิวทัศน์ด้วยควรจะใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าเป็นการทำเวลาที่ไม่เลวเลยหากจะพิจารณาว่ามันคือเส้นทางตัดผ่านหลังคาโลกที่มีภูเขาสูงกว่า 3,000 เมตรขึ้นไป
เมืองหลินจืออยู่ที่ความสูง 3,040 เมตร ซึ่งถือว่า 'เตี้ย' ที่สุดแล้วในทิเบต แต่กระนั้นเส้นทางช่วงหลินจือ-ลาซา มีความพิเศษตรงที่มันเป็นการเดินทางที่เคลื่อนตัวจากเขตภูเขาป่าสนที่มีสภาพอากาศแบบ Subtropical highland ในท่ามกลางภูเขาหิมะ ดังนั้นจึงชุ่มชื้นแต่ก็เย็นสบาย สภาพอากาศเหมาะกับการเติบโต้ของพรรณไม้ต่างๆ โดยเฉพาะ 'เห็ด' และเห็ดที่สร้างชื่อและรายได้อย่างมากให้กับภูมิภาคนี้ คือ 'ซงหรง' หรือ 'มัตสึทาเกะ' อันเป็นเห็ดที่มีความหอมและรสชาติดีเป็นที่นิยมของคนญี่ปุ่น
ในขณะที่ภูมิภาคอันเป็นที่ตั้งของนครลาซา เมืองเอกของเขตปกครองตนเองซีจั้ง (ทิเบต) มีระดับความสูง 3,600 เมตร สภาพอากาศเป็นแบบ Cold semi-arid climates นั่นคือหนาวเย็นและแห้ง ภูเขาปราศจากต้นไม้ โดยรวมค่อนข้างแห้งแล้ง และยังมีแสงแดดที่แรงจัด ดังนั้น เส้นทางหลินจือ-ลาซาจึงเป็นการเดินทางจากแผ่นดินที่เย็นสบายเหมือนแดนสวรรค์ ไปยังดิแดนที่หนาวเย็นแต่แดดร้อนแรง จากป่าสนหนาทึบไปสู่ภูเขาที่มีแต่พุ่มไม้ มันจึงเป็นเส้นทางที่ทำให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในซีจั้งได้อย่างชัดเจน
นี่เป็นการเดินทางในช่วงฤดูร้อน ซึ่งอากาศไม่หนาวเย็นแต่ก็ยังเหลือภูเขาหิมะให้เห็นบ้างตามรายทาง เส้นทางจากหลินจือมีป่าสนเป็นทิวทัศน์หลัก เว้นระยะด้วยทุ่งข้าวบาร์เลย์ ซึ่งเป็นอาหารหลักอย่างหนึ่งของคนซีจั้ง ทางหลวงช่วงหลินจือยังแล่นขนานไปกับแม่น้ำญังชู หรือแม่น้ำนีหยางชวี (尼洋曲) อันป็นแม่น้ำสายสำคัญในซีจั้งภาคตะวันตกเฉียงใต้และเป็นสาขาที่ใหญ่เป็นอันดับสองของแม่น้ำยาร์ลุง ชังโป หรือแม่น้ำพรหมบุตร
แม่น้ำญังชูจะไปบรรจบกับแม่น้ำพรหมบุตรที่ตอนใต้ของเขตปาอี๋ หรือเมืองหลักของหลินจือ ซึ่งที่ตรงนั้น ณ เวลาที่เราข้ามสะพานแม่น้ำพรหมบุตรที่ยาวเหยียด หากสภาพอากาศเอื้ออำนวย เราจะยังสามารถมองเห็นยอดเขานัมชา บาร์วา (南迦巴瓦峰) ซึ่งมีความสูงถึง 7,782 เมตร มียอดแหลมคมจนได้ฉายาว่ายอดเขาคมหอก และถือกันว่าเป็น 'บิดาแห่งภูเขา' ในซีจั้งเพราะความยากในการปีนขึ้นไปและยังถือเป็นยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาเบิน หรือศาสนาพื้นที่ถิ่นของซีจั้งก่อการมาถึงของพุทธศาสนา
เนื่องจากหลินจือเป็นแดนสวรรค์ของซีจั้ง แม้ว่าระยะทางจากปาอี๋ไปยังชายแดนของเขตเมืองหลินจือจะเทียบไม่ได้กับเขตชั้นในที่งดงามอย่างมาก แต่ตามทางหลวงก็ยังมี 'เขตทิวทัศน์' (景区) จำนวนหนึ่งที่งดงามอย่างยิ่ง เช่น เขตทิวทัศน์คาติ้งโกว (卡定沟景区) เป็นภูเขาหินสูงตระหง่าน มีน้ำตกสายยาวไหลทอดตัวลงมาจากหน้าผาชัน ท่ามกลางป่าสนที่อุดมสมบูรณ์ และที่สำคัญต่อชาวพุทธ ภูเขาคาติ้งโกวแห่งนี้มีรอยแยกของหินที่ดูเหมือนภาพของพระพุทธและพระโพธิสัตว์ตามความเชื่อของชาวซีจั้ง เป็นที่เคารพสักการะและพักผ่อนในเวลาเดียว
ทางหลวงสายนี้มีสภาพที่วิเศษมาก ปราศจากหลุมขรุขระแม้แต่น้อย ทำให้หลายคนในคณะของเราหลับฝันดีเกือบตลอดทาง แต่บางคนก็ไม่อาจข่มตาหลับได้เพราะทิวทัศน์ที่น่าอัศจรรย์ใจ และหากช่างสังเกตสักหน่อยจะพบว่าภูเขาสูงตลอดเส้นทางมีเสาไฟฟ้าแรงสูงไม่ขาดระยะและตั้งไว้หลายจุด แสดงถึงการเชื่อมต่อสาธาารณูปโภคที่ครอบคลุมในพื้นที่นี้ เส้นทางช่วงเมืองหลินจือยังมีมีจุดแวะพักสำคัญ คือ ที่ตำบลปาเหอ (巴河镇) ซึ่งมีร้านอาหารให้บริการมากมายทั้งอาหารทิเบตและอาหารเสฉวน แต่สิ่งที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือหมูซีจั้ง หรือ จั้งจู (藏猪) ที่หากินตามป่าดอย ได้กินเม็ดสนดี หญ้าชุ่มน้ำ และเห็ดรสเลิศ และสำหรับมนุษย์ เห็ดที่ควรค่ากับการชิมที่นี่ คือ ซงหรง หรือมัตสึทาเกะ
ไม่ไกลก่อนจะถึงตำบลปาเหอ มีโบราณสถานที่เรียกว่า 'ปราสาทโบราณซิวปา' (秀巴古堡) ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,600 ปี เป็นกลุ่มปราสาทที่เก่าแก่มากที่สุด มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุด มีจำนวนปราสาทหนาแน่นที่สุด และยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุดในทิเบต ที่ได้ชื่อว่า 'ซิวปา' ตามตำนานเล่าว่า นานมาแล้วมีวัดอยู่สองแห่งในสถานที่แห่งนี้ วัดหนึ่งเป็นวัดนิกายเหลืองหรือนิกายเกลุกของศาสนาพุทธแบบทิเบต และอีกวัดหนึ่งเป็นวัดศาสนาเบินหรือศาสนาดั้งเดิม ต่อมาเกิดความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธและชาวเบิน พระในศาสนาเบินบอนจึงจับเจ้าอาวาสนิกายเหลืองขังคุกและถลกหนังทั้งเป็น จึงได้ตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้ว่า 'ซิวปา' ในภาษาซีจั้ง
ตามเส้นทางหลวงนอกเมืองขนาดย่อมแล้วยังมีตำบลและอำเภอเล็กๆ เราจะเห็นบ้านเรือนในสถาปัตยกรรมแบบหลินจือ นั่นคือตัวอาคารเป็นแบบซีจั้งแต่มีหลังคาจั่วตัดคล้ายกับบ้านเรือนผู้คนในประเทศภูฏาน แต่เมื่อออกจากเขตหลินจือไปแล้วและเข้าสู่เขตลาซา สภาพบ้านเรือนจะแตกต่างไป บ้านจะมีทรงเตี้ยลง หลังคาตัดไม่มุงด้วยอะไรทั้งสิ้นแต่เป็นดาดฟ้าเรียบๆ สะท้อนถึงสภาพอากาศที่แตกต่างกันอย่างมาก นั่นคือหลินจือที่ฝนตกถี่กว่า และลาซาที่อากาศแห้งมากกว่า
ภูเขาในเขตลาซาเริ่มชัดเจนในรูปทรง ปราศจากต้นไม่ใหญ่ มีแต่พุ่มไม้และดอกหญ้า เราเริ่มเห็นวัดวาอารามมากขึ้น เช่น วัดรื่อตัว (日多寺) เป็นอาคารสีแดง (สีของอาคารสำคัญทางศาสนา) ตั้งอยู่บนยอดเขา สร้างในศตวรรษที่ 12 ด้านล่างคือเมืองรื่อตัว เป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่นิยมกันแห่งหนึ่ง และเมื่อทางหลวงเดินทางมาถึงปากทางเข้าสู่ที่ราบลาซา เราจะพบกับวัดกาเซ (嘎则寺) ซึ่งสร้างในศตวรรษที่ 7 กล่าวกันว่าสร้างโดยพระเจ้าซงซัน กัมโป มหาราชของอาณาจักรถู่ปัว จากจุดนี้ไปเราจะพ้นจากโอบล้อมของขุนเขาที่ขนาบแน่นมาตลอดทาง
เมื่อเข้าถึงเขตลาซาแล้วเราจะเห็นที่ราบกว้างใหญ่ของแม่น้ำลาซา ท่ามกลางโอบล้อมของภูเขา ที่ราบนี้จะมีดินดอนเป็นช่วงๆ มีสาขาแม่น้ำตัดผ่านทำให้เป็นที่แหล่งครึ่งน้ำครึ่งดิน ส่วนที่เป็นที่ดอนทำการเพาะปลูกข้าวบาร์เลย์และผักกาดก้านขาว (欧洲油菜) ที่ใช้ผลิตน้ำมันพืช ในช่วงฤดูร้อนมันผลิดอกสีเหลืองอร่ามไปทั่วหุบเขาและที่ราบแห่งลาซา ตัดกับท้องฟ้าสีคราม ภูเขาหลากสีสันของดอกไม้ป่า เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก
จากที่ราบและแม่น้ำกว้างใหญ่ ทางหลวงจะพาเราเข้าใกล้ลาซาเข้าไปเรื่อยๆ ภาพของเมืองและอาคารสูงสมัยใหม่เข้ามาแทนที่ทุ่งข้าวและผักกาดก้านขาว รถราสัญจรขวักไขว่มากขึ้น เราเริ่มประจักษ์กับสายตาว่าทางหลวงนี้ทรงพลังแค่ไหน กับการนำความเจริญมาสู่ดินแดนที่ห่างไกลนี้ และเราจะยิ่งทึ่งเมื่อเข้าสู่นครลาซา ดินแดนแห่งแผ่นดินเทพเจ้า ศูนย์กลางพุทธศาสนา แะลแหล่งความเจริญท่ามกลางความเวิ้งว้างของดินแดนซีจั้ง
เรื่องและภาพโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better