รีวิว Jurassic World Rebirth นักแสดงดี-ผู้กำกับเก่ง แต่พล็อตซ้ำ ทำผิดหวัง
ส่องรีวิว Jurassic World Rebirth นักวิจารณ์ชี้น่าผิดหวัง ไม่สมศักดิ์ชื่อภาคล่าสุด ‘การเกิดใหม่’ พล็อตเรื่องซ้ำซากเหมือนภาคเก่า มีดีแค่ทีมนักแสดงนำแบกหนังไว้ทั้งเรื่อง
ส่องรีวิก่อนใครกับภาพยนตร์ที่แฟนหนังทั่วโลกรอคอยอย่าง ‘Jurassic World Rebirth’ หนังภาคล่าสุดในแฟรนไชส์ไดโนเสาร์ระดับตำนานเข้าฉายพร้อมกันวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา เปิดตัววันแรกในอเมริกาเหนือ กวาดรายได้เกินคาดสูงถึง 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แถมแนวโน้มที่จะทำรายได้เปิดตัวทั่วโลกทะลุ 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐทีเดียว
ด้าน Clint Gage จาก ign ได้ออกมารีวิวหนังก่อนใคร พร้อมวิเคราะห์ตัวหนังที่มีการเปลี่ยนนักแสดงนำว่าจะได้รับคะแนนหรือเสียงวิจารณ์ในแง่ใดบ้าง เจ้าตัวกล่าวว่า จูราสสิค เวิลด์ภาคล่าสุด กำเนิดชีวิตใหม่ ยังคงสานต่อพล็อตเกี่ยวกับดีเอ็นเอไดโนเสาร์อันล้ำค่าที่บรรดาบริษัทไม่ว่าจะเป็น InGen, Biosyn หรือบริษัทยาชื่อใดก็ตาม ต่างต่อคิวรีดผลกำไรครั้งสุดท้ายจากประกายความอัจฉริยะของ ‘จอห์น แฮมมอนด์’ เมื่อสามทศวรรษก่อน น่าเสียดายที่ Universal เองก็กำลังทำในสิ่งเดียวกันอีกครั้ง ภาพยนตร์จึงกลายเป็นตัวอย่างของศิลปะเลียนแบบชีวิตอย่างแท้จริง เพราะแทนที่จะได้การเกิดใหม่สมชื่อภาค Rebirth ก็วนกลับไปเป็น The Lost World อีกบทหนึ่ง
ผู้รีวิวออกตัวก่อนว่าพร้อมดู ‘สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน’ กับ ‘มาห์เชอชาลา อาลี’ อ่านสมุดโทรศัพท์ใส่เสื้อสเวตเตอร์สีเบจกลางวันครึ้ม ๆ ได้ทั้งวัน สองคนนี้ไม่ว่าจะโผล่เรื่องไหนก็มักเป็นจุดเด่นของจอ ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้กับบทบาท ‘โซรา เบนเน็ต’ สายลับปฏิบัติการลับ กับ ‘ดันแคน คินเคด’ ทหารรับจ้างคู่ใจ เคมียังคงเฉียบขาดตามมาตรฐาน
ช่วงต้นหนังดูมีแววมาก เพราะการได้ ‘แกเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส์’ ที่เคยจับทั้ง Godzilla และ Death Star มาสร้างจังหวะสยองแบบเล่นกับขนาดบนจอได้อยู่หมัด บรรยากาศสยองเกรด B ในฉากเปิดนั้นเจ๋งจริง ทันทีที่โลโก้ Jurassic Park ปรากฏพร้อมดนตรีประกอบสไตล์หนังสัตว์ประหลาดคลาสสิกของค่าย Universal ความยิ่งใหญ่แบบ John Williams หายไปสิ้น เหลือแต่กลิ่นสยองชวนขนลุกที่ให้รสชาติใหม่กับแฟรนไชส์
การกล้าใส่คำว่า Rebirth ใต้ชื่อภาคที่หกลูกหลานของ Jurassic Park คือ การประกาศว่าหนังจะไม่เหมือนเดิม จากฉากเปิดนั้น เอ็ดเวิร์ดส์ก็เดินหน้าด้วยพลังงานสดใหม่ต่อเนื่อง ในฉากต้นที่‘รูเพิร์ต เฟรนด์’ รับบทผู้บริหารจอมเจ้าเล่ห์ว่าจ้าง โซรา เข้าไปพัวพัน หนังใช้ฉากหลังเป็นแอ็กชันอธิบายภาพความสัมพันธ์ระหว่างคนกับไดโนเสาร์หลัง Jurassic World Dominion ได้อย่างกระชับและขำขันพอตัว
แต่แล้วทุกอย่างเริ่มเลี้ยวกลับไปเส้นทางคุ้นเคย เราเจอเกาะลับอีกแห่งที่ InGen เคยทำเรื่องสกปรก ตัวละครฝั่งพระเอก ตัวร้าย และเหยื่อไดโนเสาร์ ต้องเอาตัวรอดตามสูตร แถมเป็นสูตรที่ซีรีส์นี้ใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง ตั้งแต่ The Lost World เป็นต้นมา
แม้ เอ็ดเวิร์ดส์ เคยทำ Rogue One แต่ Rebirth กลับเดินรอยเดียวกับ Star Wars: The Force Awakens ซึ่งก็เป็น ภาค 7 เหมือนกัน มันเป็นหนังภาคต่อที่แทบจะคัดลอกพิมพ์เขียวปี 1993 แบบ 1:1 ปัญหาคือ Jurassic Park ต้นฉบับเป็นหนังโครงสร้างเรียบง่าย คนดีน่ารักพยายามไม่ให้ถูกกิน พร้อมสงสัยว่ามนุษย์ควรสวมบทพระเจ้าหรือไม่ แต่ภาคหลัง ๆ ดันโถมประเด็นซับซ้อนใส่กันไม่ยั้ง จน Rebirth ต้องหอบหลากหลายประเด็น ทั้งควรทำไหม ความโลภบริษัท การอยู่ร่วมกับไดโนเสาร์ สิทธิ์ในค้นพบทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเส้นอารมณ์เฉพาะตัวของทุกคน สารพัดเรื่องมากเกินไปจนผู้ชมไม่เหลือแรงแคร์อะไรเลย
มีฉากหนึ่งในตัวอย่างที่ทำให้รู้ทันทีว่า Rebirth ไม่มีสิ่งเดียวกับ Jurassic Park คือฉาก โซรา กับ ดร.ลูมิส (โจนาธาน เบลีย์) วิ่งชนฝูงไททันโนซอรัสในหุบเขาเขียวชอุ่ม มันถูกออกแบบให้สะท้อนวินาทีที่ ‘ดร.แกรนต์’ กับ ‘เอลลี’ เห็นแบรคิโอซอร์ครั้งแรกแทบทุกกระเบียด แต่หนังตัดไปมุมกว้างทางอากาศที่ไม่ใช่มุมมองตัวละคร เป็นภาพใหญ่ไร้หัวใจ ทำลายความรู้สึกตะลึงร่วมราวกับหนังยืนยันจะรีมิกซ์ต้นฉบับจนไม่เหลือพื้นที่วิวัฒน์
ฝั่งตระกูล เดลกาโด ก็เช่นกัน มานูเอล การ์เซีย-รุลโฟ รับบทคุณพ่อพาลูกสาวข้ามแอตแลนติก ลูกคนโตแสดงโดย ลูนา เบลส์ ทั้งครอบครัวดูจริงใจและเคมีเข้ากัน แต่พวกเขาถูกจับมาวางไว้บนเกาะแบบบังเอิญจนรู้สึกเกินจำเป็น หากหนังเลือกชัด ๆ ว่าจะเป็นเรื่องทหารรับจ้างลอบขโมยดีเอ็นเอ หรือเรื่องครอบครัวไร้อาวุธต้องเอาชีวิตรอดอย่างใดอย่างหนึ่งก็คงเข้มข้นกว่า แต่หนังภาคนี้ให้สองเส้นนี้วิ่งขนาน แทบไม่ปะทะธีมกัน ถ้าไม่มีครอบครัวนี้โครงสร้างหนังก็แทบไม่สะเทือน
มาถึงคราวพระเอกตัวจริงอย่าง ไดโนเสาร์ เปิดเรื่องด้วยสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์สุดวิปริตครึ่งไคจูครึ่งแรนคอร์ เอ็ดเวิร์ดส์ กับมือเขียนบท เดวิด โคเอปป์ จงใจเก็บงำมันไว้นอกจอแบบสปีลเบิร์ก แต่ขนาดของอสุรกายตัวนี้กลับไปมา บางฉากดูใหญ่ยักษ์กว่าอีกฉาก คล้ายเปลี่ยนไซซ์สร้างความสยองตามใจคนทำ ยอมรับว่าบางช็อตสะดุ้งใช้ได้ มันมีบุคลิกชัดเจนจนอยากเห็นมากกว่านี้ ถ้า Jurassic World Rebirth ลดเส้นเรื่องให้ปีศาจยักษ์ตัวนี้ตะลุยไล่ล่าทีมทหารรับจ้าง หรือครอบครัวซวยจนต้องงัดไหวพริบสู้ หนังคงได้รส B-movie คึกคักไปตลอดทาง
ประเด็นไม่ใช่ว่าผู้เขียนหักคะแนนเพราะหนังไม่เป็นแบบที่อยากดู แต่อยากชี้ว่ามันไม่เดินต่อตามชื่อเรื่อง Rebirth สุดท้ายก็เล่นเซฟอย่างน่าอึดอัด เหมือนนำโมเสกดีเอ็นเอภาพยนตร์เก่ามาผสมอีก More teeth ตามวลีจิกกัดของ Jurassic World จนกลายเป็นสิ่งที่หนังภาคนั้นตั้งใจล้อเอง ผลลัพธ์คือหนังระดับกลาง ๆ ไม่มีอะไรผิดมหันต์ เว้นแต่เมินคำเตือนอมตะของ ดร.เอียน มัลคอล์ม ที่ว่ามัวแต่คิดได้ แต่ไม่เคยคิดควรทำหรือเปล่า
สรุปแล้ว Jurassic World Rebirth ยังเต็มไปด้วยของเก่าซ้ำซาก แม้ทีมนักแสดงนำอย่าง สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน และ มาห์เชอชาลา อาลี จะน่าติดตามตลอดเรื่อง แต่ แกเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส์ ไม่อาจงัดลายเซ็นความยิ่งใหญ่บนจอออกมาได้เต็มที่ ส่วน เดวิด โคเอปป์ ก็ไม่ได้หวนจับเวทมนตร์บทต้นฉบับ สุดท้ายเลยกลายเป็นการรีมิกซ์ มากกว่า Rebirth ตามที่ตั้งใจ
ข้อมูลจาก :ign และ jurassicworld
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง