กบน.โล่งดีเซลพลิกเป็นบวก พีทียังไม่วางใจเพิ่มสต๊อกต่อ
สถานการณ์สงครามตะวันออกกลางสัญญาณดี น้ำมันโลกร่วงคงระดับ 65-67 เหรียญสหรัฐ ล่าสุด กบน.ประชุมรับมือ พยุงขายปลีก ลดเงินชดเชยดีเซลกองทุนน้ำมันฯ 1.65 บาท หนุนรายรับ “ดีเซล” จากเดิมติดลบวันละ 40.75 ลบ. พลิกกลับมาเป็นบวกวันละ 55.75 ลบ. ด้านเอกชน “ปั๊มพีที” ยังจับตาต่อ วางแผนสต๊อกน้ำมันล่วงหน้า 10 วัน
นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันตลาดโลกกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ส่งผลให้วันที่ 25 มิถุนายน 2568 คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้มีมติให้ปรับลดอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับน้ำมันดีเซลลง 1.50 บาท/ลิตร จากเดิมชดเชยอยู่ที่ 65 สตางค์/ลิตร หรือเป็นการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ อยู่ที่ 85 สตางค์/ลิตร ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายน้ำมันหน้าสถานีบริการ โดยราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลยังคงอยู่ที่ 31.94 บาท/ลิตรเท่าเดิม
สำหรับการปรับลดการชดเชย ส่งผลให้รายรับของกองทุนน้ำมันฯ จากกลุ่มน้ำมันดีเซลกลับมาปรับตัวดีขึ้น รายรับจากกลุ่มน้ำมันดีเซล จากเดิมติดลบประมาณวันละ 40.75 ล้านบาท (23 มิ.ย. 68) เป็นมีรายรับประมาณวันละ 55.75 ล้านบาท ส่วนรายรับจากกลุ่มน้ำมันเบนซินคงที่ ประมาณวันละ 76.13 ล้านบาท ขณะที่สถานะกองทุนน้ำมันฯล่าสุด ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2568 พบว่า ติดลบอยู่ที่ 35,408 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันเป็นบวก 8,995 ล้านบาท และบัญชีแอลพีจี ติดลบ 44,403 ล้านบาท
“การลดการชดเชยในครั้งนี้จึงเป็นการคลายภาระให้กองทุนน้ำมันฯ แต่ยังคงรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันในประเทศไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคและประชาชน ซึ่ง กบน.ยืนยันจะยังคงติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดูแลประชาชนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเหมาะสม”
ด้านนายรังสรรค์ พวงปราง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงินและความยั่งยืน บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ”ว่า หลังจากสงครามเริ่มผ่อนคลายลง PTG ยังคงมีการสต๊อกน้ำมันไว้ที่ประมาณ 10 วันคงเดิม ตามแผนรับมือล่วงหน้าที่วางไว้
โดยมีการสต๊อกน้ำมันตาม Capacity ของโรงกลั่นที่สามารถใช้ได้ ประมาณ 6 วัน และอาจจะเพิ่มขึ้นอีก 3-4 วัน รวมทั้งสิ้น 10 วัน โดยได้พิจารณาความเสี่ยงด้านราคาน้ำมันด้วย ถ้าปรับสูงขึ้นมาก บริษัทก็จะขาดทุนสต๊อกน้ำมันสูงขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่สงครามส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก รัฐใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯเข้ามาบริหารจัดการพยุงราคาภายในประเทศ PTG เองก็จะบริหารจัดการในส่วนของโรงกลั่นน้ำมัน โดยได้ประสานงานกับกลุ่มโรงกลั่นอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะจัดเก็บสต๊อกน้ำมันให้เพียงพอ และติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกร่วมกับโรงกลั่นอย่างใกล้ชิด
“การปรับลดอัตราส่งเงินเข้ากองทุนจะทำให้ต้นทุนดีขึ้น เมื่อราคาน้ำมันขึ้น ถ้าภาครัฐจะตรึงราคาไว้ก็ต้องเข้ามาช่วยด้านต้นทุนของเอกชน ไม่ถึงกับต้องแบกรับมาก” นายรังสรรค์กล่าว
ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2568 พบว่า เบนซิน 95 มีราคาหน้าโรงกลั่น 17.18 บาทต่อลิตร ภาษีสรรพสามิต 7.5 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ 9.20 บาทต่อลิตร และค่าการตลาด 4.04 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็ว มีราคาหน้าโรงกลั่น 18.89 บาทต่อลิตร ภาษีสรรพสามิต 6.92 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ 0.85 บาทต่อลิตร และค่าการตลาด 2.44 บาทต่อลิตร
อีกทั้ง พบว่า เบนซินและดีเซลมีค่าการตลาดสูงกว่ากรอบที่เหมาะสม (1.50-2.00 บาท/ลิตร ) โดยเฉพาะเบนซิน 95 เพิ่มขึ้นเกินระดับเฉลี่ย ซึ่งอาจเป็นการชดเชยต้นทุนในช่วงสงครามที่ผู้ค้าน้ำมันต้องแบกรับภาระต้นทุนเอง เมื่อราคาต้นทางลดลงจึงชดเชยรายได้ที่สูญเสียไปก่อนหน้า หรือผู้ค้าน้ำมันอาจตั้งค่าการตลาดสูงเผื่อลดความผันผวนในอนาคต เช่น ความเสี่ยงราคาน้ำมัน, อัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่ากระทบการนำเข้า, ค่าขนส่งและโลจิสติกส์
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : กบน.โล่งดีเซลพลิกเป็นบวก พีทียังไม่วางใจเพิ่มสต๊อกต่อ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net