แก้ปัญหายังไงให้เป็นโอกาส ฟังวิธีคิดจากผู้นำ ‘ดุสิตธานี’ ‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’
เวลานึกถึง‘ผู้นำ’ บทบาทหนึ่งคือคนเหล่านี้จะต้องอยู่กับ ‘การตัดสินใจ’ และ ‘การแก้ปัญหา’ ตลอดเวลา หลายครั้งต้องเผชิญวิกฤต ก็จะสะท้อนให้เห็นว่าผู้นำแต่ละคนมีวิธีรับมือและแก้เกมแตกต่างกันไป
เมื่อพูดถึงหนึ่งในตัวอย่างผู้นำหญิงแถวหน้าของประเทศไทย ย่อมมีชื่อของ‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) อยู่ในทำเนียบต้นๆ
‘ศุภจี’ ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนให้แนวคิดถึงวิธีการแก้ปัญหาในแบบฉบับของเธอ บนเวทีสัมมนาประชาชาติธุรกิจที่ผ่านมา ในหัวข้อ“ปัญหาที่นำไปสู่โอกาส”
TODAY Bizview ได้สรุปสาระสำคัญที่‘ศุภจี’ ถ่ายทอดไว้ได้อย่างน่าสนใจ เพราะเธอเชื่อว่าในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ความสามารถในการมองปัญหาให้เป็น ไม่ใช่แค่เรื่องของสติปัญญา แต่คือทักษะสำคัญที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้นำองค์กร เจ้าของธุรกิจ หรือแม้แต่หัวหน้าครอบครัวต้องมี เพื่อเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส
[ มองปัญหาให้เป็น ไม่ใช่แค่เห็นปัญหา ]
‘ศุภจี’ มองว่าในเวลาที่เจอปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาระดับประเทศ ระดับองค์กรหรือปัญหาส่วนบุคคล สิ่งแรกที่ต้องทำคือควรถอยออกมามองปัญหาอย่างมีสติ
วิธีมองปัญหาให้เป็นถ้าคิดเป็นหลักการก็คือ
– มองด้วยปัญญา : ไม่ใช่อารมณ์
– มองด้วยสติ : อยู่กับปัจจุบัน เข้าใจบริบท
– ไม่ตัดสิน : เปิดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ดังนั้นอย่าเพิ่งด่วนตัดสินปัญหา เพราะหลายๆ ครั้งปัญหาก็อาจไม่ใช่อุปสรรคอย่างที่คิด แต่เป็นเพียงข้อมูลหรือสัญญาณที่บอกว่าอะไรยังไม่สมบูรณ์ และกำลังรอให้เราเรียนรู้ เติบโต พัฒนาให้ดีขึ้น
ส่วนการเห็นด้วยใจก็คือการเข้าใจสถานการณ์ เข้าใจคนที่เราอยู่ด้วย ต้องมีความเมตตา เปิดใจให้กว้างเพื่อมองวิธีแก้ปัญหา ดังนั้น การมองปัญหาให้เป็นคือต้องมองด้วยสายตาแห่งปัญญาและต้องมองเห็นถึงใจด้วยถึงจะเดินไปข้างหน้าได้
ที่สำคัญต้องแยกให้ออกว่าปัญหากับอุปสรรคต่างกันอย่างไร ถ้าเป็นอุปสรรค คือสิ่งที่ทำให้เราเดินช้าลง ต้องใช้ความอดทน พยายาม ส่วนปัญหา คือสิ่งที่ทำให้ไปต่อไม่ได้ ต้องเปลี่ยนที่วิธีคิด
ถ้ารู้ในลักษณะนี้แล้ววิธีรับมือกับปัญหาก็จะสามารถใช้ทรัพยากร ใช้เวลาและสติปัญญาของเราได้ตรงโจทย์ที่สุด
[ แยก ‘ปัญหา’ ให้ถูกกอง ]
ต้องอย่าลืมว่าปัญหาไม่ใช่ทุกเรื่องต้องแก้เสมอไป หากเรารู้จักแยกประเภทของปัญหา ก็จะสามารถจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างคำสอนของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ที่พูดไว้ว่า ปัญหาคือเวทีพัฒนาปัญญา คนเก่งเขาจะเปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาส โดยสามารถแบ่งปัญหาได้เป็น 3 กองหลักๆ
กองที่ 1 : ปัญหาที่แก้ได้ คือสิ่งที่เราควบคุมได้ เช่น ระบบงานไม่ดี โครงสร้างองค์กรไม่ชัด หรือการสื่อสารในทีมขัดแย้ง สิ่งเหล่านี้แก้ได้ด้วยการลงมือทำทันที
กองที่ 2 : ปัญหาที่แก้ไม่ได้ เช่น อดีตที่ผ่านไปแล้ว หรือตัวแปรที่อยู่นอกการควบคุม สิ่งที่ทำได้คือ ปรับมุมมองและปรับวิธีรับมือ เช่น ปรับกลยุทธ์ ปรับใจ
กองที่ 3 : ปัญหาที่ไม่ควรแก้ บางเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเป้าหมายหลัก หรือไม่ใช่หน้าที่ของเรา เช่น ปัญหาของคนอื่นที่เราไม่สามารถควบคุมได้ก็ควรปล่อยวาง
[ เริ่มต้นด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน ]
ส่วนนี้เป็นการแยกประเภทของปัญหาที่เกิดขึ้นต่างจากอันแรกที่เป็นเรื่องของการเรียงลำดับความสำคัญ แต่แบ่งออกเป็น 3 เรื่องเหมือนกัน ก็คือ
เรื่องแรกวิธีการมองปัญหา ต้องมองให้ออกว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ถ้าเป็นเรื่องของคนก็ต้องแก้ที่คน ถ้าลงทุนแล้วขาดทุนก็ต้องไปแก้ตรงนั้น และเมื่อแยกได้ก็จะเอามารวมกันได้ เพราะว่าการแก้ปัญหาจะต้องเป็นองค์รวม ดังนั้นในการมองมันต้องมองทั้งแนวกว้างและแนวลึก
เรื่องที่สองเมื่อเจอปัญหาใหญ่ สิ่งแรกที่ควรกลับไปทบทวนไม่ใช่ ปัญหาแต่คือเป้าหมาย เรากำลังทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร เพื่อใคร แล้วตอนนี้เป้าหมายนั้นยังชัดอยู่หรือไม่
ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของ ‘ดุสิตธานี’ ที่ตั้งใจนำแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก เป้าหมายที่ชัดทำให้ทั้งองค์กรมีแรงใจและแรงผลักดันในการเดินต่อ แม้จะต้องเปลี่ยนแปลงหลายอย่างก็ตาม
[ แก้ปัญหาแบบ ดุสิตธานี ]
เรื่องสุดท้าย โมเดลในการแก้ปัญหา อย่างดุสิตธานี ใช้โมเดลที่ทำให้จำได้ง่าย ด้วยชื่อเรียกว่า TAM (หรือ แต๋ม ที่เป็นชื่อเล่นของเธอ) โดยแต่ละตัวอักษรได้สะท้อนความหมายดังนี้
T – Think Big : คิดให้ใหญ่ เห็นทั้งภาพระยะสั้นและระยะยาว มองไปไกลกว่าแค่ในองค์กรของตัวเอง
A – Act Small : เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ลงมือเร็ว คิดให้ใหญ่แต่ลงแรงทีละก้าว เพื่อให้คนเดินตามได้
M – Move Right : เดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง หมั่นตรวจสอบกลยุทธ์เสมอว่ายังสอดคล้องกับสถานการณ์หรือไม่
[ ปัญหาใหญ่ แก้ด้วยหลักเศษส่วน ]
บางครั้งปัญหามีหลายมิติ ทั้งเรื่องคน เงิน งาน ระบบ ทัศนคติ การพยายามแก้ทั้งหมดพร้อมกันจะทำให้ทีมล้าและหลงทิศ
สิ่งที่อยากแนะนำคือการใช้หลักเศษส่วน ก็คือการแก้ปัญหาเป็นส่วนๆ บางเรื่องเราพยายามจะทุ่มพลังทั้งหมดที่มีเพื่อเข้าไปแก้ปัญหาพร้อมๆ กัน มันอาจจะไม่ได้ผล อาจยิ่งจะทำให้มีความตึงตัวในคณะทำงานเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำไป
ให้เราทุบปัญหาให้แตกแล้วแก้ทีละเปลาะจากนั้นค่อยรวมเป็นภาพรวม สิ่งสำคัญคือต้องไม่ใช่แค่แยกส่วน แต่ต้องรู้จักรวมเศษให้เกิดผลลัพธ์ที่มีพลังในภาพรวมด้วย เพราะว่าถ้ามันใหญ่มากเกินไปคนก็จะโฟกัสไม่ถูก
[ วิธีดูแลใจในวันที่ปัญหาเยอะ ]
การเป็นผู้นำต้องแบกรับทั้งแรงกดดันและความคาดหวัง ดังนั้นการดูแลใจตัวเองก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญ หลัก 3 ข้อในการดูแลใจ ก็คือ
ยึดมั่นในคุณค่า : อย่าให้คำพูดของคนอื่นมาลบเป้าหมายของเรา
แยกแยะเสียงรบกวน : มองหาข้อเท็จจริงจากคำวิจารณ์ อย่าเสียพลังกับคำพูดไร้สาระ
เข้าใจเหตุและปัจจัย : ปัญหาทุกอย่างมีทั้งเหตุภายใน (สิ่งที่เราควบคุมได้) และปัจจัยภายนอก (สิ่งที่ควบคุมไม่ได้) ให้โฟกัสที่เหตุและทำเต็มที่ ส่วนผลลัพธ์ปล่อยให้เป็นไป
[ ปัญหาคือเวทีพัฒนาปัญญา ]
ใช้ปัญหาเป็นเวทีพัฒนาปัญญา ให้คิดเสมอว่าทุกปัญหาคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต อย่ามองว่าเป็นแค่อุปสรรค แต่ให้ใช้เป็นเครื่องมือฝึกใจ ฝึกคิด และฝึกแก้ไขอย่างสร้างสรรค์
ถ้าปัญหาใหญ่ อย่าแก้คนเดียว แบ่งปัญหา แบ่งพลัง แล้วเดินไปพร้อมทีม ใช้จุดแข็งของตัวเองให้เต็มร้อย และให้ทีมได้ใช้จุดแข็งของเขาเช่นกัน
สุดท้ายในวิกฤติทุกครั้งมีโอกาสซ่อนอยู่ ถ้าเรามองเป็นและเห็นด้วยใจ เพราะเมื่อใจเปลี่ยน มุมมองเปลี่ยนโอกาสก็จะปรากฏ