พ่อแม่น้องเมย ร่ำไห้ หลังรู้คำพิพากษา
เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 68 เวลา 11.00 น. ศาลมณฑลทหารบกที่ 12 จังหวัดปราจีนบุรี นายพิเชษฐ์ พร้อมด้วยนางสุกัลยา พ่อและแม่ ของนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย เปิดใจกับสื่อมวลชน ภายหลังจากศาลทหารสูงสุด มีคำพิพากษาชั้นฎีกา ว่า ให้ยืนตามศาลชั้นอุทธรณ์ จำเลยมีความผิดทำร้ายร่างกาย ทำโทษโดยฝ่าฝืนคำสั่งกลุ่มนักเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร ส่วนที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทันทีนั้น ศาลเห็นว่า ด้วยอายุจำเลยไม่เคยได้รับโทษ การจะลงโทษจำเลยไป ก็ไม่เป็นประโยชน์ ให้จำเลยปรับปรุงตัว รับราชการ รับใช้ชาติต่อไป จะเป็นประโยชน์มากกว่า มีโทษจำคุก 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี
นางสุกัลยา กล่าวว่า ศาลฎีกายืนคำพิพากษาตามศาลอุทธรณ์ แต่รอลงอาญา 2 ปี สาเห็นว่าศาลเห็นว่าจำเลยยังสามารถทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้และถ้าหากลงโทษเลยก็จะทำให้ถ้าหากออกมาจากการรับโทษจะทำให้ไปประกอบสัมมาชีพยาก จึงให้โอกาส ทางครอบครัว ไม่ได้ขัดเรื่องการรับโทษของอีกฝ่าย แต่มีคำถามที่บอกว่า จำเลยทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และถ้าหากลูกของตนยังมีชีวิตอยู่เขาสามารถทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ไหม แต่ลูกของเราไม่มีโอกาส
ถ้าหากเป็นนักเรียนหรือบุคคลธรรมดาเราก็พอเข้าใจได้ แต่นี่เป็นนักเรียนบังคับบัญชาเหมือนเป็นผู้ที่ถือกฎหมายไว้ในมือ แต่ทำผิดซะเอง จึงเกิดคำถามว่าต่อไป จะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้มากขนาดไหน แล้วเราจะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่มีทำเรื่องแบบนี้ จะไปปฎิบัติหน้าที่ ที่เป็นคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ ทางครอบครัวไม่เชื่อ ตั้งแต่เกิดเรื่อง อีกฝ่ายไม่มีการมาขอโทษเลย ครอบครัวของเราเดินทางขึ้นศาลมาอย่างสง่าผ่าเผยแต่จำเลยที่เป็นคนกล่าวอ้างว่า น้องเมยทำผิด กลับก้มหน้าก้มตาขึ้นศาล ถ้าหากเขาไม่ผิด ทำไมจะต้องอาย ทำไมไม่ยืดอกรับ จึงอยากฝากไปถึง พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้พิจารณาถึงความเหมาะสมในเรื่องนี้ด้วย
ครอบครัวของเราเดินทางต่อสู้มาตลอด 8 ปี เจอเหตุการณ์มากมาย ทั้งการข่มขู่สารพัด คนที่จะมาเป็นพยานให้ ก็ไม่สามารถมาเป็นให้ได้ มีตำรวจคนนึงที่ สภ.บ้านนา จ.นครนายก บอกว่า “คุณรู้มั้ยว่าคดีของลูกคุณ มันเปลืองงบประมาณไปเท่าไหร่” ส่วนตำรวจอีกท่าน เรียกครอบครัวไปดูผลการชันสูตรของลูกชาย รู้รายละเอียดการตายหมด
แต่สุดท้ายท้ายสำนวน กับพลิกเป็นอีกแบบนึง โดยตำรวจเจ้าของสำนวนพูดว่า “ลูกผมยังเล็ก ผมยังไม่อยากตาย” ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราไม่อยากทำให้ครอบครัวของคนอื่นเดือดร้อนเลย ใครที่เข้ามาคุยกับครอบครัวเรา จะโดนแบน จะมีโทรศัพท์โทรมาข่มขู่ ว่า ”มึงอย่ายุ่ง“ คนที่อยากให้การก็มาไม่ได้ ครอบครัวจึงไม่สามารถไปหาพยานหลักฐานที่ไหนได้เลย เราสู้มาตลอด แม้จะมีคนบอกว่า สู้ไปก็แพ้ แต่ที่ครอบครัวสู้มาถึงวันนี้ไม่ได้ต้องการแพ้ชนะแต่ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับลูกชาย
นายพิเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ส่วนหลังจากนี้ครอบครัวจะผลักดันคดีที่ยังค้างอยู่ หลังจาก ครอบครัวไปแจ้งความที่ สน.พญาไท ในกรณีที่ไปร้องเรียนเรื่อง อวัยวะเสียหาย, อวัยวะหาย และทำลายอวัยวะ เนื่องจากสารพันธุกรรมน้อยจนไม่สามารถตรวจดีเอ็นเอได้ มีอวัยวะบางอย่างที่ไม่มีสารพันธุกรรมเลย ครอบครัวจึงตกใจว่าเป็นไปได้อย่างไร และอวัยวะชิ้นนั้นที่ไม่มีใช่ของลูกเราหรือไม่ จึงได้ให้ทนายติดต่อร้อยเวรเจ้าของคดีไปแล้ว ทางตำรวจได้ส่งหนังสือเรียกนายแพทย์ จากโรงพยาบาลพระมงกุฏ ซึ่งเป็นนายแพทย์คนแรก ที่ผ่าชันสูตรร่างของลูกชาย แต่คดีไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย จนป่านนี้ หมอคนดังกล่าวยศขึ้นแล้ว แต่ตำรวจไม่ยอมออกหมายจับทหาร
อย่างไรก็ตาม ทางครอบครัวขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้ มันทำให้เรามีกำลังใจการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับลูกชายต่อไป.