โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

The Must กลาโหม “บิ๊กแก้ว” นักรบทหารม้า สายตรง “บิ๊กตู่-บิ๊กแดง” พร้อมลุย เขมร

สยามรัฐ

อัพเดต 15 นาทีที่แล้ว • เผยแพร่ 16 นาทีที่แล้ว

นับเป็นครั้งแรกที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้นำจิตวิญญาณ และผู้มีบารมีของพรรคเพื่อไทย ยอมที่จะปล่อยมือจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ฝ่ายทหาร

เพราะตั้งแต่ จัดตั้งดีลรัฐบาลผสมข้ามขั้ว ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับขั้วอนุรักษ์นิยม พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นเจ้าของโควตา ตำแหน่งรมว.กลาโหม ยังไม่เคยยอมให้ทหารเป็นรมว.กลาโหมเลย

ที่ผ่านมาจึงให้ นายสุทิน คลังแสง มาเป็นรมว. กลาโหม พลเรือน คนแรกที่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเสมือนขัดตาทัพไปก่อน ประมาณ 1 ปีในยุคที่ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี

และต่อด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัยรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหมพลเรือน อีกคนในยุคที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี

แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่จากกรณีคลิปสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุนเซน ของกัมพูชา ที่ส่งผลให้นางสาวแพทองธารถูกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้รับคดีไว้พิจารณาและถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี

โดยก่อนหน้าหน้านั้นมีการปรับคณะรัฐมนตรีโดยการทูลเกล้าฯคณะรัฐมนตรีชุดใหม่แพทองธาร 1/2 ที่มีนางสาวแพทองธาร นั่งเก้าอี้ รมว.วัฒนธรรม เพื่อที่จะยังให้นางสาวแพทองธาร นั่งอยู่ในคณะรัฐมนตรีต่อไป

แต่ในครม. ชุดใหม่นี้ไม่ได้มีการทูลเกล้าฯ บุคคลที่จะเป็นรมว.กลาโหมคนใหม่ แทนนายภูมิธรรม แต่อย่างใด

ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองที่มีการเว้นวรรคตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไว้

โดยเป็นที่รู้กันว่าเพื่อรอ “บิ๊กแก้ว” พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด มารับตำแหน่งนี้ แต่ที่ต้องรอเพราะ พล.อ.เฉลิมพล ยังอยู่ในเงื่อนไขการเว้นวรรคทางการเมือง 2 ปีนับตั้งแต่พ้นจากการเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยจะครบกำหนด 2 ปีในวันที่ 30 กันยายน 2568 นี้

ท่ามกลางการจับตามองว่าสถานการณ์ความมั่นคงรอบด้านรวมถึงชายแดนภาคใต้ และโดยเฉพาะสถานการณ์ไทยกัมพูชาควรไม่ต้องเว้นว่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่งผลให้ พล.อ.เฉลิมพล ยิ่งถูกจับตามองว่ามีความสำคัญเช่นไรถึงขั้นที่นายทักษิณ ยอมที่จะยกโควตาเก้าอี้นี้ให้นั่งและยังคงรออีกถึง 3 เดือน

แม้ในช่วง 3 เดือนจะเป็นเหมือนช่วงสุญญากาศของกระทรวงกลาโหมที่ไม่มีรัฐมนตรีว่าการก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติแล้วยังมี “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ยังคงทำหน้าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมต่อไปเป็นสมัยที่ 3 หลังจากนั่งเก้าอี้ตัวเดิมนี้มาตั้งตั้งแต่ยุค นายสุทิน

ต่อมา ยังมีนายภูมิธรรม ที่ขยับไปเป็นรองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและยังคงเป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงคุม กระทรวงกลาโหมต่อก็ยังดูแลความมั่นคงและกระทรวงกลาโหมอยู่

และคาดการณ์ว่าในห้วงสามเดือนนี้ พล.อ.เฉลิมพล ก็ต้องมีการเตรียมตัวที่จะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เสมือนทำหน้าที่อย่างไม่เป็นทางการก่อนที่จะมีการรับตำแหน่ง

ทั้งนี้ เป็นที่รู้กันภายในกองทัพว่าการที่ พล.อ.เฉลิมพล จะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นั้นเป็นเพราะได้รับการสนับสนุนจากทั้ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี และ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารบกและถือเป็น 2 นายทหารคนสำคัญในดีลผสมข้ามขั้วที่มาของการจัดตั้งรัฐบาล ระหว่างขั้วอนุรักษ์นิยม กับพรรคของพี่น้อง 3 ป.บูรพาพยัคฆ์กับพรรคเพื่อไทย ของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกเชื่อมโยงกับดีล ให้นายทักษิณ กลับประเทศ

เพราะ พล.อ.เฉลิมพล ทำงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ ในยุครัฐบาลคสช. ซึ่งในขณะนั้น พล.อ.เฉลิมพล เป็นผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ( ผบ.พบ.ม.2 รอ.) รับหน้าที่ในการจัดระเบียบสังคมปราบปรามสิ่งผิดกฎหมายและอิทธิพล

ที่สำคัญ คือเป็นเพื่อนรุ่นน้องของ พล.อ.อภิรัชต์ ตั้งแต่สมัยเรียนเตรียมทหารรุ่น 21 เนื่องจาก พล.อ.อภิรัชต์ ซึ่งเรียนเตรียมทหารรุ่น 20 และได้มาเรียนร่วมกับรุ่นน้องเตรียมทหารรุ่น 21 เพิ่มเติมด้วยจึงทำให้มีความสนิทสนมกันมายาวนาน

และถือเป็นมือ ทำงานของ พล.อ.อภิรัชต์ และ พล.อ.ประยุทธ์มาตลอดหลายปีในช่วงยุคคสช.

และเป็นเสมือนเพื่อนรุ่นน้องที่รู้ใจรู้ความคิดของ พล.อ.อภิรัชต์ ถึงขั้นที่ พล.อ.อภิรัชต์ และ พล.อ.ประยุทธ์ สนับสนุนให้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยให้ย้ายข้ามฟาก จากกองทัพบกไปเป็นเสนาธิการทหาร ก่อนขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด คอแดงนั่งยาวถึง 3 ปี

ที่สำคัญ พล.อ.อภิรัชต์ ไว้วางใจ พล.อ.เฉลิมพล ถึงขั้นที่ชวนร่วมคณะเดินทางไปลังกาวี ด้วยกันก่อนที่จะถูกเปิดเผยภาพหลุดและเป็นที่มาของ “ดีลลับลังกาวี” ที่สงสัยกันว่าได้ไปพบหารือกับนายทักษิณเพื่อหารือเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลในเวลานั้น

และดีลลับลังกาวี นี้ก็ส่งผลให้ พล.อ.อภิรัชต์ ลาออกจากตำแหน่งรองเลขาธิการสนว. ในเวลาต่อมาด้วยเหตุผลปัญหาสุขภาพจนต้องไปรักษาตัวที่สหรัฐอเมริกาและหายไปจากวงการพักใหญ่

แต่ด้วยความที่ พล.อ.อภิรัชต์ เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลดีลผสมข้ามขั้ว จึงยังคงต้องเป็นห่วงและคอยประคองสถานการณ์ประคองดีล เหล่านี้ให้เดินหน้าต่อไปได้เพราะเป้าหมายก็คือต้องสกัดกั้น พรรคสีส้ม ไม่ให้มาเป็นรัฐบาลมีอำนาจ เพื่อปกป้องสถาบันฯ และมาตรา 112

พล.อ.อภิรัชต์ จึงเสมือนคอยช่วยแก้ไขสถานการณ์อยู่เบื้องหลังการเมืองต่างๆเพราะโดยส่วนตัวแล้ว พล.อ.อภิรัชต์ ก็คุ้นเคยกับนายทักษิณ มาตั้งแต่สมัย “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้เป็นบิดา

และเมื่อจำเป็นต้องมาจับมือกันในดีลผสมข้ามขั้วเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปและเพื่อปกป้องสถาบันจึงทำให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้วกันเกิดขึ้น โดยมีรายงานว่าในห้วงที่ผ่านมาพลเอกอภิรัชต์ ก็คอยเป็นคนประสานแก้ปัญหาให้กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด

แต่ด้วยปัญหาความขัดแย้งหลายวงที่ซ้อนกันอยู่ในแต่ละขั้วทั้งผู้สนับสนุนพรรคภูมิใจไทยของนายอนุทิน ชาญวีรกุล ที่เป็นแบคอัพที่ไม่ธรรมดา ก็เป็นคนละสายกับ พล.อ.อภิรัชต์ จนทำให้เกิดการวัดพลังเกิดขึ้น

แต่ดูเหมือนฝ่ายสีน้ำเงินของนายอนุทินจะแข็งกว่าเพราะรอดคดี ฮั้ว ส.ว. และนางสาวแพทองธาร ยังโดนคดีศาลรัฐธรรมนูญ สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่จากกรณีคดีคลิปสนทนากับ สมเด็จฮุนเซนแห่งกัมพูชาและอาจจะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไปในที่สุด

อันเป็นช่องโหว่ที่อาจทำให้นายอนุทิน พรรคภูมิใจไทย สามารถสอดแทรกในการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลใหม่และเป็นนายกรัฐมนตรีจากการโหวตเสียงในสภาได้เช่นกัน

และยังไม่แน่นอนว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้ารัฐบาลของนางสาวแพทองธาร 1/2 ที่นางสาวแพทองธาร ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี แต่ ต้องรอดูว่า ในที่สุดพลเอกเฉลิมพล จะได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือไม่

แต่ในเวลานี้ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการทำหน้าที่ โดยเป็นที่จับตามองมากว่านอกจากโดยสายสัมพันธ์ที่ทำให้ พล.อ.เฉลิมพล ได้มาเป็นว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว

ยังถือว่า พล.อ.เฉลิมพล มาในเวลาที่ถูกจังหวะเพราะเป็นนายทหารที่มีประสบการณ์การเป็นนักรบและเรียกได้ว่าทั้งสายบู๊และสายบุ๋น เพราะเป็นทหารม้าที่เติบโตมาในหน่วยรบผ่านตำแหน่งทั้งผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม จนเป็นผู้บัญชาการกองพล พล.ม.2 รอ.

แต่ พล.อ.เฉลิมพล ก็ถือเป็นนายทหาร สายบุ๋น เพราะเติบโตมาในกรมยุทธการทหารบก และในที่สุด ก็ได้กลับไปเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก

ที่สำคัญโชคชะตาฟ้าลิขิตพลเอกเฉลิมพล เป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ในการเขียน “แผนจักรพงษ์ภูวนารถ ” ในการสู้ศึกกัมพูชาในสมรภูมิเขาพระวิหาร ซึ่งวันนี้อีกไม่ช้าก็จะได้มาเป็นสนามไชย1 คุมกองทัพในการสู้ศึกเขมรอีกครั้ง ในสมรภูมิช่องบก และ 3 ปราสาท

แม้ว่าแผนจักรพงษ์ฯ จะมีการเขียนไว้แล้วก็ตาม แต่ในยุคที่ พล.อ.เฉลิมพล ได้แค่มีส่วนร่วมในการร่วมเขียนแผนนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เป็น หัวหน้าฝ่ายยุทธการ พล.ม.2 รอ.

และในห้วงที่ ช่วงเกิดเหตุการณ์ 2552-2554 พล.อ.เฉลิมพล เป็น แผนกปฏิบัติการศปก.ทบ.ดูแลงานศปก.ทบ. ด้านชายแดนทุกกองทัพภาค

ก่อนที่ในปี 2554 ซึ่งเหตุการณ์สู้รบกับกัมพูชา พล.อ.เฉลิมพล ก็ประสานงานการใช้กำลังของทบ.ในเหตุการณ์นั้น ก่อนหน้านั้นสมัย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ปี 2552 มีการปะทะกันเพราะเขมรรุกล้ำเข้ามาใกล้ปราสาทพระวิหาร ในพื้นที่ทับซ้อน

นอกจากนั้น ยังไป อยู่ชายแดนไทย-เมียนมา อ.แม่สอด จ. ตาก ในยุค “บิ๊กอ้อ” พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เป็น ผบ.ม.4 รอ.เป็นผบ.กรมฝึก เมื่อครั้งที่ “บิ๊กตุ๊ด” พล.อ.วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ ตอนเป็น แม่ทัพภาค 3 เมื่อครั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็น ผบ.ทบ.

เรียกได้ว่า พล.อ.เฉลิมพลเป็นนายทหาร ที่ครบเครื่อง และเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ทว่า ใน อีก 3 เดือนข้างหน้า อะไรก็เกิดขึ้นได้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก สยามรัฐ

“ศุภชัย” สอนมวยเพื่อไทย ปมกัญชา ชี้ต้องคุ้มครองสิทธิชาวบ้าน อย่าเอาใจแต่นายทุนใหญ่

12 นาทีที่แล้ว

“หมาก” นอกกระดาน !?

24 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม