ถึงแม้จะไม่ปรารถนา…แต่ว่าบางครั้งยังจำเป็น
ในสังคมประชาธิปไตย การจะได้รัฐบาล ต้องผ่านครรลองของการเลือกตั้ง ไม่ใช่รัฐประหาร ในเมื่อประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผู้คนจำนวนมากจึงไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลด้วยวิธีการรัฐประหารของทหาร แต่ทว่าในบางครั้งรัฐประหารที่ผู้คนมองว่าไม่ดี อาจจะเป็นสิ่งที่จำเป็น ทั้งนี้เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามครรลองของรัฐธรรมนูญ บริหารประเทศแบบไม่มีธรรมาภิบาล มีการโกงกิน มีการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใส มีการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย โครงการต่างๆ มีผลประโยชน์ทับซ้อน ผู้มีอำนาจเอาผลประโยชน์
ของชาติไปแลกกับชาติอื่นเพื่อประโยชน์ของตน ของครอบครัว และของพวกพ้อง เมื่อประชาชนรู้เท่าทัน พวกเขา ไม่ต้องการรัฐบาลที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ก็ทำให้เกิดการชุมนุมขับไล่
แต่ไม่ว่าจะมีประชาชนออกมาชุมนุมกันมากเพียงใดก็ไม่อาจจะขับไล่รัฐบาลดังกล่าวได้ จนในที่สุดเพื่อแก้ปัญหาของประเทศ ทหารจำเป็นต้องทำการรัฐประหาร เพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่บริหารประเทศแบบไร้ธรรมาภิบาล ไม่มีจริยธรรม ที่หมดความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาลต่อไป เมื่อถึงวันนั้นรัฐประหารที่เป็นสิ่งที่ไม่ดีในสังคมประชาธิปไตย กลายเป็นสิ่งเลวร้ายที่จำเป็นเพื่อกำจัดประชาธิปไตยจอมปลอมซึ่งเป็นสิ่งที่เลวร้ายกว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งแล้วครั้งเล่า และเมื่อมีการทำรัฐประหาร บางครั้งประชาชนก็พอใจ เพราะพวกเขามองว่าหากไม่มีรัฐประหารก็ไม่อาจจะแก้ไขปัญหาของประเทศได้ เพราะนักการเมืองที่มีอำนาจ ไม่ว่าจะเลวทรามชั่วช้าแค่ไหน ก็มีแนวร่วมเป็นรั้วทองแดง กำแพงเหล็กปกป้องพวกเขา ทำให้ประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาลที่ชั่วร้าย ไม่สามารถที่จะทำอะไรพวกเขาได้
ประเทศเราอยู่ในวังวนนี้มานานมากแล้ว ทำให้เราเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ งบประมาณของประเทศที่มาจากภาษีของประชาชนไปอยู่ในกระเป๋าของนักการเมืองชั่วร้ายที่มาจากการเลือกตั้งตามครรลองของประชาธิปไตย และเมื่อประชาชนมองเห็นประชาธิปไตยจอมปลอมที่พวกเขาไม่อาจขับไล่ได้ พวกเขาก็จะเรียกหารัฐประหาร และเมื่อมีการทำรัฐประหารแล้วก็จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ทำให้ประเทศไทยมีการร่างและมีการฉีกรัฐธรรมนูญเป็นจำนวนหลายครั้ง เมื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จแล้ว ก็จะจัดให้มีการเลือกตั้งตามครรลองประชาธิปไตย และที่น่าเศร้าคือ พรรคที่เคยเป็นรัฐบาลที่ชั่วร้ายก็จะชนะการเลือกตั้งอีกโดยหาเสียงด้วยนโยบายประชานิยมที่มีประชาชนจำนวนมากหลงเชื่อ และลงคะแนนเลือกพรรคที่นำเสนอผลประโยชน์จากนโยบายประชานิยม แม้ว่าหลายครั้งที่ผ่านมา พรรคที่หาเสียงด้วยประชานิยม เมื่อได้เป็นรัฐบาลก็ไม่สามารถทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้ แต่ประชาชนที่เลือกก็ไม่เคยจำว่าเคยถูกหลอก ก็ยังคงจะลงคะแนนให้พรรคที่เขาเคยเลือกแบบตาบอดไม่กลัวเสือ
รัฐประหารที่เกิดขึ้นในประเทศไทยหลายๆ ครั้ง ไม่ได้เกิดจากทหารกระหายอำนาจและไม่เคารพความเป็นประชาธิปไตย แต่คือผลพวงของการทำงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามครรลองของประชาธิปไตยที่บริหารประเทศแบบไม่มีธรรมาภิบาล ไม่มีจริยธรรม โกงกิน ใช้เงินภาษีของประเทศผิดทิศผิดทางเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง มีการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย มีการทำโครงการที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน มีเผด็จการทางรัฐสภาที่ห่อหุ้มด้วยคำว่า “ประชาธิปไตย” อ้างว่าเป็นรัฐบาลมาจากเสียงข้างมาก ไม่ฟังเสียงประชาชน และกระบวนการทางกฎหมายไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ การชุมนุมของประชาชนหลายล้านคนก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ เมื่อมีปรากฏการณ์ที่เน่าจากภายในเช่นนี้ รัฐประหารจึงกลายเป็นความจำเป็นในการกำจัดรัฐบาลที่ไม่มีธรรมาภิบาล
เมื่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งใช้อำนาจไม่ถูกต้อง บริหารประเทศแบบไร้หลักนิติธรรม ดำเนินงานต่างๆ แบบขาดคุณธรรม เต็มไปด้วยคอร์รัปชันและผลประโยชน์ทับซ้อน ความไม่ชอบธรรมจึงกระตุ้นให้ประชาชนชุมนุมประท้วงและขับไล่ แต่รัฐบาลที่โกงกิน มักจะมีเงินที่ได้มาจากการโกงแสวงหาแนวร่วมที่จะทำหน้าที่เป็นรั้วทองแดงกำแพงเหล็กปกป้องพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่ทำตัวเป็นข้าทาสบริวาร สื่อมวลชนที่ยอมทิ้งอุดมการณ์ ทำหน้าที่แบบไร้จรรยาบรรณ นักวิชาการที่ขายวิญญาณด้วยหวังตำแหน่ง และประชาชนที่เสพติดผลประโยชน์จากโครงการประชานิยม ทำให้การขอร้องให้รัฐบาลลาออก หรือการชุมนุมขับไล่ไม่สามารถกำจัดรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมได้ รัฐประหารจึงเกิดขึ้น จากลำดับขั้นตอนของวงจรอุบาทว์ดังกล่าวนี้ เราไม่ควรโทษทหารว่ากระหายอำนาจ เป็นเผด็จการที่ไม่เคารพความเป็นประชาธิปไตย ทหารที่ทำการรัฐประหาร ทำเพราะเห็นความจำเป็นในการปกป้องประเทศชาติไม่ให้ถูกทำลายโดยนักการเมืองเห็นแก่ตัวที่อ้างความเป็นประชาธิปไตยแบบจอมปลอม
เมื่อมีการฉีกรัฐธรรมนูญด้วยการทำรัฐประหาร ก็จะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยหวังว่าจะเกิดกติกาใหม่ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดรัฐบาลที่ไร้ธรรมาภิบาล แต่เมื่อมีการเลือกตั้งหลังจากร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว พรรคที่ชูนโยบายประชานิยมก็ชนะการเลือกตั้งอีก เพราะประชาชนจำนวนมากเสพติดประชานิยม และมักจะอ้างความยากจนที่ทำให้เขาไม่สนใจคำว่า “จริยธรรม” แม้ว่าที่ผ่านมาพรรคการเมืองที่ชูนโยบายประชานิยมก็ไม่อาจทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้ แต่คนที่เลือกก็ไม่เคยจำ ไม่เคยเข็ด พอพรรคการเมืองหาเสียงด้วยประชานิยมอีก ก็เลือกเขาอีก มันเป็นเหมือนกับนักการเมืองขี้โกงคนหนึ่งที่เขาพูดว่าการหาเสียงของเขาที่ชูประชานิยมหลอกเอาคะแนนเสียงกับชาวบ้านนั้น เป็นวิธีการที่ถูกต้อง เพราะประชาชนจำนวนหนึ่งเป็นเหมือนคนตาบอดไม่กลัวเสือ หมายความว่าเป็นคนโง่ที่มองไม่เห็นความร้ายการของนักการเมืองชั่วช้าสามานย์ที่ใจดำอำมหิต หลอกเอาคะแนนชาวบ้านเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาลเข้ามากอบโกยโกงกิน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเราจะยอมให้ประเทศไทยของเราตกอยู่ในวงจรอุบาทว์แบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ เราจะเป็นไทยเฉยปล่อยให้นักการเมืองเลวๆ ที่ชั่วช้าสามานย์ได้อำนาจมาโกงกินไปอีกกี่ปี ประเทศไทยเราเสียโอกาสมามากแล้ว ครั้นจะหวังให้ได้นักการเมืองรุ่นใหม่ที่เป็นนักการเมืองน้ำดีมาไล่นักการเมืองน้ำเน่า เราจะหวังได้แค่ไหน ตราบใดที่นักการเมืองที่ชั่วช้านั้นวางขุมกำลังเป็นแนวร่วมเอาไว้ทุกภาคส่วนแล้ว ทั้งนักการเมืองด้วยกันเอง ข้าราชการ สื่อมวลชน นักวิชาการ และองค์กรอิสระบางองค์กร เมื่อมีรัฐบาลที่ชั่วช้าสามานย์ เราต้องการกำจัด แต่หลากหลายวิธี รวมทั้งกระบวนการตุลาการภิวัตน์ก็ไม่อาจจะทำอะไรพวกเขาได้ รัฐประหารจึงกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากเราไม่ต้องการให้เกิดรัฐประหาร เราก็ต้องคิดอ่านว่าเราจะทำอย่างไรให้ประชาชนที่มีสิทธิในการลงคะแนนเลือกตั้ง คิดเป็น พิจารณาเป็น ลงคะแนนเลือกตั้งอย่างมีคุณภาพ เลิกเป็นคนตาบอดไม่กลัวเสือ มาช่วยกันคิดหน่อยเถอะนะ อย่าเป็นไทยเฉยอยู่เลย ใครทำอะไรได้ จงทำด้วยสำนึกรักชาติ และดำเนินตามแนวทางของความฝันอันสูงสุด คือ “แน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด” กันนะคะ.