"ทักษิณ" ฟาดแรง! การเมืองอิจฉาริษยา ฉุดพัฒนาประเทศ
วันที่ 9 ก.ค.2568 เวลา 12.45 น. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางถึง ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กทม. เพื่อโชว์วิสัยทัศน์ในหัวข้อ “Crafting the Future: From OTOP to ThaiWORKS and Beyond“ ภายในงาน SPLASH soft power forum 2025 ที่จัดระหว่างวันที่ 8 ถึง 11 ก.ค.2568 นี้
จากนั้นเวลา 13.30 น. นายทักษิณ กล่าวแสดงวิสัยทัศน์บนเวทีว่าจุดเริ่มต้นของโอทอป เกิดขึ้นในปี 2545 ซึ่งเริ่มมาจากเมืองโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น ตอนนั้นคนที่มาเล่า มาจากเจโทร
ตนเติบโตที่ชินวัตรไหมไทย เห็นงานแฮนดิคราฟต์มาตลอด ไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ไปไม่ได้ไกลอย่างที่คิด ดังนั้นถ้าเรามีการออกแบบใหม่ๆ การดีไซน์ใหม่ๆ และการตลาดดีๆ มันน่าจะไปได้ไกลกว่านั้น ประเทศไทยมีภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือมีงานฝีมือของชาวบ้านอยู่ทุกที่ ทุกภาคซึ่งปรับได้ แต่ต้องยอมรับว่าชาวบ้านยังคิดแบบชาวบ้าน มีฝีมือจริง แต่วัสดุไม่สามารถลงทุนได้ ไม่สามารถหาตลาดได้ ไม่สามารถออกแบบใหม่ๆ ได้ เราก็ต้องไปช่วย
นายทักษิณ กล่าวว่าตนยังติดใจอยู่ว่าโลกข้างหน้าเราจะสู้กับเขาอย่างไรเราต้องยอมรับว่าการศึกษาของเรามีปัญหา ระบบบริหารของเรามีปัญหา เพราะว่าเรามีแนวคิดแบบไซโลหรือแท่งใครแท่งมัน ต่างคนต่างทำ เราตามเขาไม่ทันแน่นอน เลยยังติดใจว่าครีเอทีฟอีโคโนมีหรือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของเรา น่าจะเป็นจุดแข็งที่หากินได้ยาว โลกยิ่งเปลี่ยนไป มีความรู้สึกว่าอยากให้มีสิ่งที่ทำด้วยมือมนุษย์เพราะเดี๋ยวนี้เป็นเครื่องจักรไปแล้ว ตนอยากรักษาตรงนี้ไว้ ดังนั้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ยังเป็นจุดแข็งของประเทศไทยนอกเหนือจากการตามให้ทันเศรษฐกิจด้านเทคโนโลยี
นายทักษิณ กล่าวว่า ตอนที่ตนอยู่เมืองนอก Peter Arnell ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์มาพบกับตน เป็นคนสร้างแบรนด์และทำงานกับ Samsung มาตลอด เลยชวนมาทำ ThaiWORKS ต่อยอดจากโอทอป ปีเตอร์บอกว่าผ้าพันคอแอร์เมสขายผืนละ 50,000 ผ้าพันคอไทยขายได้ 2,000 ทำไมเราไม่เอาลายของแอร์เมส ซึ่งมีทั้งอานม้า รถม้า ลูกม้าซึ่งเป็นลายของเขาซึ่งขายดี ซึ่งเรามีลายบ้านเชียง ซึ่งก็น่าสนใจ ตนมองสินค้าไทยในภาพรวมมีโอทอปเป็นสินค้าฐาน และสินค้าของเอสเอ็มอีเป็นสินค้าประกอบ ตนรู้ว่าโลกยุคนั้นต้องสร้างแบรนด์ แต่ว่าแต่ละบริษัทเล็กๆ หมด หากจะสร้างแบรนด์ต้องใช้เงินเยอะเพื่อนำไปสู่สากล ดังนั้นให้มาเกาะปีกแบรนด์ไทยแลนด์จึงจะสร้างแบรนด์ไทยแลนด์บายยี่ห้อใคร เมื่อแบรนด์แข็งแรงแล้วก็สร้างแบรนด์ตัวเอง จึงอยากจะไปทำร้านในเมืองใหญ่ๆ ในศูนย์ช้อปปิ้งทั้งหลายเพื่อเป็นโชว์รูมของประเทศไทย
นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ปรากฏว่าช่วงที่คิดเป็นช่วงปลายปี 2548 เป็นช่วงที่การเมืองเริ่มยุ่งแล้ว บ้านเราเสียเวลาเรื่องการเมืองที่ไร้สาระมากกว่าเรื่องที่มีสาระ เลยทำให้เรื่องมีสาระถูกละเลยเป็นประจำ เป็นช่วงๆ เมื่อเจอปีเตอร์เลยอยากสานต่อเพื่อให้แนวคิดเป็นสากล ซึ่งตนเคยคิดว่าถ.ราชดำเนินเป็นที่ทรัพย์สินกำลังจะหมดสัญญาตนบอกว่าหากเอาแบรนด์ไปใส่หนึ่งห้อง โอทอปหนึ่งห้องสลับกันไปมา ทำให้โอทอปได้เห็นพัฒนาการและปรับตัวเอง ใช้วัสดุดีๆ เพื่อให้ราคาเพิ่มขึ้นให้ปรับตัวไปเรื่อยๆ
“และเป็นช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ แต่พอดีมีปฏิวัติเสียก่อนเลยต้องพักไป ตอนนี้กลับมาใหม่ จะเอาของเก่าที่ดีไซน์ไว้มารีเฟรชใหม่ และดูว่าจะขับเคลื่อนอย่างไรต่อ จำไว้ว่าตนเป็นรัฐบาลหรือไม่เป็นรัฐบาล ไม่มีเลิกทำ เพราะที่ทำทั้งหมดออกเงินเองเพราะต้องการให้เป็นโซเชียลเอนเตอร์ไพรซ์ของคนไทย ไม่ใช่ของการเมือง เพื่อให้การพัฒนาประเทศในด้านครีเอทีฟอีโคโนมีต่อเนื่องยาวนาน” นายทักษิณ กล่าว
นายทักษิณ กล่าวอีกว่า การผลิตนอกจากลิขสิทธิ์ที่เราได้ให้เอสเอ็มอีไปขยายผลแล้ว ตนยังอยากให้ทุกหมู่บ้านเป็นหนึ่งโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อผลิตสินค้าที่ดี ดีไซน์จากส่วนกลางและเป็นทักษะของท้องถิ่นผสมผสานกับแนวคิดครีเอทีฟของคนท้องถิ่นและปรับไปมา เหมือนเราฟังแนวคิดและดีไซน์ของเขามาปรับให้เป็นสากลแล้วไปออกแบบในการสร้างต่อไป ขณะนี้ต้องรีบทำให้สินค้าหรือดีไซน์แบบของไทยทำเงินได้ เด็กรุ่นใหม่แน่นอนว่าโดยเฉพาะเจน Z จะห่วงเรื่องสถานะการเงินของเขามาก ถ้าเขาไม่มีช่องทางหารายได้ เขาก็ทิ้ง แต่ถ้าหากพ่อแม่สอนมา เขาทำเป็นแต่เขาไม่อยากทำเพราะการเงินไม่ได้ แต่ถ้าเขาทำเงินกับมันได้เขาก็ทำ ไม่มีใครทิ้งสิ่งที่ทำเงินได้ แต่ขึ้นกับเศรษฐกิจ เราจะต้องทำเศรษฐกิจฟื้นตัวให้ได้ เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวทำอะไรก็ขายได้
"วันนี้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจยากกว่าสมัยก่อนเพราะหมักหมมมานาน แต่ก็ต้องแก้ เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวและงานไทยเวิร์คหรือโอทอปของเราขับเคลื่อนได้ วันนั้นคนรุ่นใหม่จะหันกลับเป็นช่องทางทำมาหากินอีกช่องทางหนึ่ง วันนี้มันอยู่ที่การเอาจริงเอาจัง หากรัฐเอาจริงเอาจัง ข้าราชการก็ร่วมมือ เมื่อข้าราชการร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเมื่อก่อนนี้ไม่ให้ความร่วมมือ วันนี้กระทรวงมหาดไทยต้องร่วมมือเต็มที่ เป็นกระทรวงสำคัญที่จะนำนโยบายไปสู่ประชาชน นั่นคือผู้ว่าฯ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เขาอยู่ติดชาวบ้านที่สุด ถ้าเขาร่วมมือปุ๊บทุกอย่างจะขับเคลื่อนได้ คนที่ช่วยขับเคลื่อนคือกระทรวงมหาดไทยต้องมูฟ” นายทักษิณ กล่าว
นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 10 ก.ค.ตนจะเอาแนวคิดที่จะทำไทยเวิร์คมาคุยกับปีเตอร์ โดยจะดูว่าอะไรที่จะนำไปลงหมู่บ้านชุมชน ก็จะฝากให้รมว.มหาดไทย รมว.อุตสาหกรรมไปช่วยกัน วันนี้เอสเอ็มอีเรามีปัญหาเพราะโดนเอาของจีนราคาถูกมาขาย ซึ่งตนจะเชิญเอสเอ็มอีมาฟังเรื่องราวทั้งหมด ดังนั้นการขับเคลื่อนของไทยเวิร์คจะลงไปในสองระดับ ส่วนระดับสู่ตลาดโลกนั้นเราจะใช้ทีมของปีเตอร์ซึ่งมีความกว้างขวางในวงการตลาดโลกพอสมควร รู้จักแบรนด์ต่างๆ ว่าเราจะผลิตป้อนแบรนด์หรือจะดีไซน์ร่วมอย่างไร หรือจะทำแบรนด์ของเราต่างหาก เหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำต่อไป รอให้ท่านนายกฯ ได้กลับไปทำงานก่อน ตนเป็นคนใจร้อนตอนนี้ 76 ปีแล้ว ไม่รู้จะอยู่ได้นานแค่ไหน รีบๆ ทำเถอะ
นายทักษิณ กล่าวว่า สำหรับความเห็นเรื่อง อุตสาหกรรม ภาพยนตร์ไทย นั้นได้ นายทักษิณ กล่าวว่า ตนทำมาทุกอย่างผ่านมาเยอะ สมัยก่อนหนังไทยสร้างหยาบๆแต่เรื่องไหนได้ตุ๊กตาทอง ไม่ได้เงิน เพราะสร้างดีไป หนังหยาบๆได้ตังค์ สมัยก่อนตนเดินสายหนังภาคเหนือซื้อลิขสิทธิ์หนังมาเดิน ล้มลุกคลุกคลาน เพราะเมื่อก่อนวงการหนังกู้แบงค์ไม่ได้ ต้องแลกเช็ค เพราะแบงค์ไม่เชื่อถือ เนื่องจากเป็นธุรกิจ 50/50 เจ๊งได้รวยได้ ถือเป็นปัญหาวงการหนังไทย และต้องยอมรับว่าวงการหนังบ้านเรา มีระบบมากขึ้น เมื่อมีเด็กรุ่นใหม่เข้ามาแล้ว มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน ทำให้หนังไทยประสบความสำเร็จมากขึ้น ซึ่งเมื่อก่อนเป็นมวยวัด แต่วันนี้การสร้างมีระบบขึ้น ทั้งนี้หากสามารถมี target ที่ชัดเจน ภาพยนตร์ไทยจะสำเร็จมากขึ้น
นายทักษิณ กล่าวว่า ตอนนี้คนใน Hollywood เริ่มซื้อสคริปต์หนังไทยไปแปลแล้วเพราะคนไทยเขียนนิยายเก่งโดยเฉพาะการเมือง นิยายน้ำเน่าเยอะ ดังนั้นหากเราทำหนังดีๆมีคุณภาพและเปิดตลาดให้กว้างขึ้นแล้วรัฐช่วยสนับสนุน โดยคุยกับสถาบันการเงิน ว่าต้องไฟแนนซ์กัน จะทำให้หนังไทยโตได้ ตลาดจะกว้างขึ้น ส่วนเรื่องการคืนภาษี ทำให้ต่างประเทศได้ก็ทำให้ คนไทยได้เช่นกัน สำหรับผู้สร้างภาพยนตร์ วันนี้ต้องทำสมองให้พัฒนาในการทำงาน อย่าไปพัฒนาการทำร้ายซึ่งกันและกันประเทศมันอยู่ไม่ได้
นายทักษิณ ยังกล่าวด้วยว่า เด็กในสังคมเกาหลี มั่วสุม กันอย่างสร้างสรรค์ ถ้าเด็กเราถ้าส่งเสริมให้ไปสุมหัวกันเล่นดนตรีแข่งกันหรือซ้อมดนตรีเราควรต้องกระจาย เหมือนกับมวยต้องกระจาย ถ้าไปกระจุกที่เดียวก็ลำบาก ในเรื่องของบางกอกแฟชั่นเวฟวันนี้กำลังจะกลับมาเมืองไทยควรจะมีทุกอย่างที่ในโลกสากลมี
นพ.สุรพงษ์ ยังถามด้วยว่า มองอนาคต Soft Power ของไทย มีอนาคตแค่ไหน ต้องขับเคลื่อนอย่างไร และจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้จริงหรือไม่นายทักษิณ กล่าวว่า ก่อนอื่นเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศนั่นคือความไม่สามัคคีมีความอิจฉา ริษยา ถ้าเราอยู่ด้วยความอยู่ด้วยความสามัคคีไม่อิจฉาริษยาเกื้อกูลกัน Soft Power จะมีพลังมหาศาล ถ้าคนไทยมีสิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วจะสามารถสร้างพลัง Soft Power ได้หลากหลายสาขาหลากหลายช่องทางนั่นคือช่องทางทำมาหากินทั้งนั้น แม้โลกจะมีเทคโนโลยีใหม่ ทันสมัยแค่ไหนก็หนีคำว่า Soft Power ไม่ได้ creative ยังใช้ได้ในโลกใบนี้ ทุกอย่าง ต้องไม่ทิ้งแกนเดิม เรามีของดีอยู่แล้ว เรามีคนไทยถึงมีสายเลือดใน ต้องเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์แต่สำคัญคือพอสร้างขึ้นพอคนนั้นเริ่มโตคนนี้มาอิจฉากันตรงนี้ต้องทิ้งไปบ้างเข้าวัดหน่อย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"ฮุน เซน" โพสต์ท้า ดูกันว่าศาลไทยจะกล้าเปิดการสืบสวน "ทักษิณ" หรือไม่
โฆษกชี้ “ทักษิณ” ใกล้ชิด “ฮุน เซน” ยิ่งกว่า “ก๊กอาน” ทำไมไทยไม่จับ?
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : "ทักษิณ" ฟาดแรง! การเมืองอิจฉาริษยา ฉุดพัฒนาประเทศ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com