เงื่อนตายของฮุน เซน
หลังจากการสู้รบของทหารกัมพูชาและไทยพร้อมกับหลังจากไทยและกัมพูชามีข้อตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 และพบว่ากัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่องสถานการณ์ของฮุน เซน ดูแตกต่างจากตอนเริ่มต้นของการทำสงครามแย่งชิงเขตแดนที่ผ่านมายาวนาน ผลปรากฏว่ามหาอำนาจนำของโลกต่างไม่เห็นด้วยกับท่าทีของฮุน เซน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่ประกาศว่าไม่สนับสนุนผู้นำเผด็จการแบบฮุน เซน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงจีนมีท่าทีวางเฉยทางการทูตต่อกัมพูชาและยังส่งอาวุธให้ไทย ส่วนประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินประกาศตัวไม่เข้าข้างกัมพูชาเพราะว่ากัมพูชาส่งทหารไปช่วยยูเครนรบกับรัสเซีย
ท่าทีของผู้นำประเทศมหาอำนาจของโลกที่ไม่สนับสนุนกัมพูชาทำให้เกิดแรงกดดันกลับมาทางฮุน เซนทำให้ความพยายามเปิดเกมรุกด้วยการพานักการทูต รวมถึงผู้ช่วยทูตทหารจาก 13 ประเทศ พร้อมสื่อมวลไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในฝั่งชายแดนตนเอง หมดความน่าเชื่อถือลงไ
ประกอบกันกับพรรคประชาชนซึ่งเป็นผู้นำพรรคฝ่ายค้านของไทยได้เสนอแนวทาง “การต่างประเทศ”เชิงรุก 5 ข้อ ต่อรัฐบาลไทยดังนี้
- รัฐบาลไทยต้องไม่ลังเลที่จะให้มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน เข้ามาเป็นคนกลางในการดูแลกระบวนการหยุดยิง โดยไทย กัมพูชา และมาเลเซียควรเร่งจัดทำแนวทางและกำหนดรายละเอียดการทำงานของทีมผู้สังเกตการณ์ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและโปร่งใสกับทุกฝ่าย ไทยยังสามารถแสดงบทบาทนำโดยเป็นผู้ริเริ่มการออกแบบกลไกคณะผู้สังเกตการณ์หยุดยิง ว่าควรประกอบด้วยชาติใดบ้าง จำนวนกี่คน และมีกรอบระยะเวลาปฏิบัติงานกี่วัน แล้วเสนอให้กัมพูชาและมาเลเซียพิจารณา เพื่อแสดงเจตจำนงในการใช้กระบวนการที่เป็นสากลและสันติในการคลี่คลายความขัดแย้ง รวมถึงแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเราเคารพข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่งต่อสถานะของไทยในเวทีโลก
- รัฐบาลไทยต้องสื่อสารกับประชาคมระหว่างประเทศในเชิงรุก ยืนยันการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา พร้อมหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เพียงการตอบโต้การกล่าวหาของกัมพูชา โดยพิจารณาทุกช่องทาง ทั้งกลไก UN และองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ รวมถึงกลไกระดับทวิภาคีกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค
- รัฐบาลไทยควรเปิดประเด็นอื่น ๆ ต่อประชาคมโลก นอกเหนือจากการปะทะที่ชายแดน เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของผู้นำกัมพูชา เช่น การที่กัมพูชาเป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมากที่ทำให้เกิดความเสียหายทางการเงินจำนวนมากทั่วโลก ตลอดจนการลอบสังหารนักการเมืองฝ่ายค้านในไทย ซึ่งสื่อต่างชาติได้รายงานและเปิดเผยคลิปเสียงการสั่งการไล่ล่าสังหารฝ่ายค้านของฮุน เซน
- รัฐบาลไทยต้องจัดตั้งคณะทำงานเพื่อสื่อสารกับสื่อต่างประเทศโดยเฉพาะ โดยอาจประกอบด้วยตัวแทนทั้งจากกระทรวงการต่างประเทศ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ทำงานเชิงรุก ไม่ใช่เพียงการแถลงหรือส่งข่าวรายวัน แต่ต้องส่งตัวแทนไปให้สัมภาษณ์ วิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ หรือดีเบตกับตัวแทนของฝั่งกัมพูชา
- รัฐบาลไทยต้องมีเอกภาพในการสื่อสาร ควรระบุให้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้พูดหลัก และให้ข่าวที่จุดเดียว ครบถ้วน รอบด้าน และทันสถานการณ์ การให้ข่าวจากหลายทางจะยิ่งสร้างความสับสนให้กับประชาชน
- ข้อเสนอดังกล่าวได้รับการตอบรับด้วยการต่อยอดจากสื่อไทย เช่น อาจารย์ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ได้ทำประชามติเพื่อสร้างแรงกดดันให้นำตัวฮุน เซนไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการแบ่งแยกให้ชัดเจนว่าการทำสงครามครั้งนี้เกิดจากฮุน เซนฝ่ายเดียวไม่เกี่ยวกับประชาชนกัมพูชาแต่อย่างใด
อีกทั้งนักวิเคราะห์จาก BBC สื่อใหญ่ของอังกฤษ ระบุว่ากัมพูชาเป็นแหล่งซ่องสุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขนาดใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอกย้ำให้เห็นความเลวร้ายรัฐบาลฮุน เซน ในการสนับสนุนอาชญากรรมข้ามชาติ ที่เป็นภัยร้ายแรงทางการเงินระหว่างประเทศ สร้างความเสียหายให้กับประชาชนจำนวนมาก
ยิ่งถูกเปิดโปงมากเท่าใดฐานะของฮุน เซนในสายตาโลกจะยิ่งโดดเดี่ยวและกัดกินตัวเองมากขึ้นและอาจจะนำเขาไปสู่เงื่อนตายของการแก้ปัญหาด้วยสงครามมากขึ้นไปอีก แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เราคงได้เห็นถึงการดิ้นรนอย่างสุ่มเสี่ยงมากขึ้นของจอมเจ้าเล่ห์ที่พยายามรักษาอำนาจเอาไว้โดยอาศัยประสบการณ์อันยาวนานของเขาเองต่อจากยุคเขมรแดง