ครึ่งปีแรก“อีอีซี”มีธุรกิจเกิดใหม่ 5.8พันรายทุนจดทะเบียน2.2หมื่นล้าน
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยแพร่ข้อมูลธุรกิจในพื่นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ว่า โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก : Eastern Economic Corridor (EEC) ประกอบด้วยเขตพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และ ระยอง มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ ในเดือน ม.ค. – มิ.ย. 2568 มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในเขตพื้นที่ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง รวม 5,852 ราย ทุนจดทะเบียน 22,842.95 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือน ม.ค. – มิ.ย. 2567 จำนวน 5,495 ราย เติบโตเพิ่มขึ้นคิดเป็น 6.50% และมีมูลค่าทุนจดทะเบียน 23,567.84 ล้านบาท เติบโตลดลงคิดเป็น 3.08% โดย 77.10% เป็นการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จำนวน 4,512 ราย
ทั้งนี้ การดำเนินธุรกิจปัจจุบันพื้นที่ 3 จังหวัด (ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา) ในเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
มีนิติบุคคลคงอยู่ ณ 30 มิ.ย. 2568 จำนวน 97,526 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 2,005,390.23 ล้านบาท
แบ่งเป็น จ.ชลบุรี71,142 ราย คิดเป็น 72.95% จ.ระยอง 18,339 ราย คิดเป็น 18.80% และ จ.ฉะเชิงเทรา 8,045 ราย คิดเป็น 8.25%
ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจบริการ คิดเป็น 61.34% รองลงมาคือการขายส่งขายปลีก คิดเป็น 23.79% และการผลิตคิดเป็น 14.87% ธุรกิจที่ยังดำเนินกิจการอยู่ที่มีจำนวนสูงสุด 3 อันดับ ของแต่ละกลุ่มธุรกิจ ได้แก่การผลิต 1.ธุรกิจกลึงกัดไสโลหะ จำนวน 993 ราย มีรายได้13,200.69ล้านบาท 2.ธุรกิจติดตั้งเครื่องจักรอุตสาหกรรมและอุปกรณ์จำนวน 751ราย มีรายได้ 11,696.57ล้านบาท และ 3.ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมสำหรับยานยนต์จำนวน 726 ราย มีรายได้ 878,902.58ล้านบาท
ขายส่ง/ปลีก 1. ธุรกิจขายส่งเครื่องจักรอื่น ๆ จำนวน 1,839ราย มีรายได้31,359.04ล้านบาท 2. ธุรกิจขายส่ง
เครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อใช้ในงานอุตสาหกรรม จำนวน 1,159ราย มีรายได้20,985.69 ล้านบาท และ 3.ธุรกิจขายปลีกวัสดุก่อสร้าง จำนวน 922ราย มีรายได้ 41,033.36ล้านบาท
บริการ 1.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 18,494ราย มีรายได้ 58,052.74ล้านบาท 2.ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป
จำนวน 6,345ราย มีรายได้68,516.07 ล้านบาท และ 3.ธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหารจำนวน 3,195ราย มีรายได้8,663.55ล้านบาท
สำหรับธุรกิจที่มีการถือหุ้นของต่างชาติในนิติบุคคลไทยคิดเป็น 60.25% ของทุนทั้งหมด โดยสัญชาติญี่ปุ่นมีสัดส่วนมากที่สุดคิดเป็น 33.10% รองลงมาคือ จีน มีสัดส่วนคิดเป็น 20.53% และสิงคโปร์มีสัดส่วนคิดเป็น 10.94% โดยมีการลงทุนในจังหวัดระยองสูงสุดคิดเป็น 48.94%
สำหรับธุรกิจที่ลงทุนโดยสัญชาติญี่ปุ่นสูงสุด 3 อันดับแรก เรียงลำดับจากมูลค่าทุนจดทะเบียน ได้แก่ 1. ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ สำหรับยานยนต์ มูลค่าการลงทุน 81,932.95 ล้านบาท 2. ผลิตอะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม มูลค่าการลงทุน 38,817.31 ล้านบาท 3. ผลิตยางล้อและยางใน มูลค่าการลงทุน 31,797.30 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจที่ลงทุนโดยสัญชาติจีนสูงสุด 3 อันดับแรก เรียงลำดับจากมูลค่าทุนจดทะเบียน ได้แก่1. ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ สำหรับยานยนต์ มูลค่าการลงทุน 20,273.91 ล้านบาท 2. ผลิตยางล้อและยางใน มูลค่าการลงทุน 16,812.46 ล้านบาท3. การผลิตเหล็กและเหล็กกล้า มูลค่าการลงทุน 13,987.75 ล้านบาท
ธุรกิจที่ลงทุนโดยสัญชาติสิงคโปร์สูงสุด 3 อันดับแรก เรียงลำดับจากมูลค่าทุนจดทะเบียน ได้แก่ 1. ผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า มูลค่าการลงทุน 16,555.55 ล้านบาท 2. ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ สำหรับยานยนต์ มูลค่าการลงทุน 13,900.97 ล้านบาท 3. ผลิตยางล้อและยางใน มูลค่าการลงทุน 7,384.99 ล้านบาท