เช็คกระเป๋าเงินรัฐบาล ตุนงบรับ "ภาษีทรัมป์" 19% ล็อตแรก 2.1 หมื่นล้าน
ภายหลังรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บอัตรา ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) สินค้าของไทยในอัตรา 19% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงผู้ประกอบการและซัพพลายเชนต่าง ๆ ในประเทศไทย ที่ทำการค้ากับสหรัฐฯ แม้อัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจะปรับลดลงมาจากเพดาน 36% ก็ตาม
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่า ปัจจุบันรัฐบาลได้จัดเตรียมมาตรการไว้รองรับผลกระทบ “ภาษีทรัมป์” ไว้ก่อนหน้าแล้ว พร้อมจัดเตรียมวงเงินไว้รับมืออย่างน้อย 2.1 หมื่นล้านบาท ทั้งหมดนี้มาจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีกรอบวงเงินกันเอาไว้ 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งรัฐบาลได้ตัดสินใจนำมาใช้กับวิกฤตภาษีครั้งนี้
สำหรับวงเงินงบกระตุ้นเศรษฐกิจ กรอบวงเงิน 2.1 หมื่นล้านบาท แยกเป็น
ส่วนแรก กรอบวงเงิน 11,122 ล้านบาท ซึ่งได้รับการเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ภายใต้ข้อเสนอโครงการหรือรายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านการลดผลกระทบ ภาคการส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ
โดยงบประมาณส่วนนี้ ที่ผ่านมามีคำเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณ เข้ามายังคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการสูงกว่า 258 โครงการ รวม 1,969 รายการ วงเงินรวม 71,563 ล้านบาท แต่มีข้อเสนอโครงการหรือรายการที่ผ่านการพิจารณา และมีความสำคัญสูงเพียง 10 โครงการ 10 รายการ วงเงินรวม 11,112 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้
1.ด้านการเกษตร มีคำขอรับจัดสรรงบประมาณฯ ที่ผ่านการพิจารณา ตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ 4 โครงการ 4 รายการ วงเงินรวม 160 ล้านบาท
2.ด้านการลดผลกระทบแรงงาน มีคำขอรับจัดสรรงบประมาณฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ 1 โครงการ 1 รายการ วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท
3.ด้านดิจิทัล มีคำขอรับจัดสรรงบประมาณฯ ที่ผ่านการพิจารณา ตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ 5 โครงการ 5 รายการ วงเงินรวม 961 ล้านบาท
ส่วนที่สอง วงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ล่าสุดข้อเสนอโครงการได้ผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ แล้ว คือ โครงการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย
โดยจะนำเงินส่วนนี้กว่าหมื่นล้านบาทใส่ลงไปยัง กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งดูแลโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
แผนการดำเนินงานในโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันฯ นี้ กำหนดกลุ่มเป้าหมายว่าต้องเป็นผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจาก “ภาษีทรัมป์” หรือเป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีส่วนเพิ่ม หรือผู้ลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
ทั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถเสนอโครงการเข้ามาขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุน การวิจัยและพัฒนา การส่งเสริมนวัตกรรม หรือการพัฒนาบุคลากรเฉพาะด้านของกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 - กันยายน 2569 โดยต้องอยู่ภายใต้อุตสาหกรรมเป้าหมาย ดังนี้
- อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ
- อุตสาหกรรมการบิน
- อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับคุณภาพ
- อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ
- อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร
- อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ
- อุตสาหกรรมหุ่นยนต์
- อุตสาหกรรมดิจิทัล
- อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
- อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
- อุตสาหกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียน
- อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
- การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการวิจัยพัฒนาเพื่ออุตสาหกรรมเป้าหมาย
การเตรียมความพร้อมด้านงบประมาณรองรอบวิกฤต “ภาษีทรัมป์” ของรัฐบาลครั้งนี้ นับว่ามีความท้าทายว่าจะสามารถรองรับวิกฤตที่กำลังจะเกิดขึ้นข้างหน้าได้อย่างเบ็ดเสร็จหรือไม่ ภายใต้งบประมาณที่จำกัดกับความไม่แน่นอนที่ยังรอคอยและวัดฝีมือของรัฐบาลอยู่เป็นระยะนับจากนี้