สิงคโปร์ซิวอันดับ 1 “ขนส่งสาธารณะที่ดีที่สุดในโลก” จาก 70 เมืองใหญ่ทั่วโลก กรุงเทพฯ ติดอันดับ 48
ขนส่งสาธารณะถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเป็นอันดับต้น ๆ อันเป็นสิ่งที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตของประชาชน นอกจากนี้แล้วยังเป็นรากฐานของเมืองที่น่าอยู่ ทั้งในด้านการเดินทาง การเข้าถึงที่เท่าเทียม และความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดปัญหารถติด และสร้างเมืองที่มีชีวิตชีวา หลายประเทศทั่วโลก จึงเร่งพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะนี้ให้ดีเพื่อตอบสนองนโยบายการพัฒนาประเทศ
สำหรับการจัดอันดับเมืองระบบขนส่งสาธารณะที่ดีที่สุดในบทความนี้ จะอ้างอิงผลการศึกษาของบริษัท Oliver Wyman ร่วมกับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (University of California, Berkeley) โดยเป็นการจัดอันดับในหัวข้อ Urban Mobility Readiness Index (ดัชนีความพร้อมของการเดินทางในเมือง) ประเมินระบบขนส่งสาธารณะของ 70 เมืองใหญ่ทั่วโลก
ซึ่งพิจารณาจากคุณภาพโครงสร้างพื้นฐาน การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ การนำเทคโนโลยีมาใช้ ความยั่งยืนความน่าสนใจทางการตลาด ประสิทธิภาพการดำเนินงาน และนวัตกรรม สำหรับปี 2024 ถือเป็นครั้งที่ 6 แล้ว โดยครั้งนี้ได้เพิ่มดัชนีย่อยใหม่สำหรับการประเมินด้าน การยอมรับเทคโนโลยี เช่น AI, รถไร้คนขับ (AV) และแท็กซี่ทางอากาศ เข้าไปด้วย
Photo by pexels
10 อันดับเมืองที่ขนส่งสาธารณะดีที่สุดในโลก
- สิงคโปร์
สิงคโปร์ครองอันดับ 1 ของโลกด้วยระบบ MRT ที่ทันสมัยและเป็นผู้นำด้านระบบอัตโนมัติมาตั้งแต่ปี 2003 ปัจจุบันมี 6 สาย ครอบคลุมกว่า 200 กม. เชื่อมโยงย่านที่อยู่อาศัย ศูนย์กลางการค้า และแหล่งท่องเที่ยว พร้อมด้วยเครือข่ายรถบัส โดยรัฐบาลตั้งเป้าให้ 75% ของการเดินทางทำด้วยระบบรางหรือรถบัสทั้งหมดภายในปี 2030
- ฮ่องกง
ฮ่องกงขึ้นชื่อเรื่อง ความรวดเร็ว ราคาไม่แพง และเข้าถึงง่าย กว่า 70% ของการเดินทางทั้งหมดใช้ขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะ MTR ที่รองรับกว่า 9.7 ล้านเที่ยวต่อวัน รถไฟออกถี่มาก แม้ช่วงนอกเวลาเร่งด่วนก็รอไม่กี่นาที และยังเชื่อมต่อกับรถบัส รถราง เรือข้ามฟาก รวมถึง Airport Express จุดเด่นอีกอย่างคือบัตร Octopus Card ที่ใช้ได้แทบทุกการเดินทางอย่างสะดวกสบาย
- สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน
เมืองหลวงสวีเดนโดดเด่นด้วยระบบที่ ยั่งยืนและปล่อยคาร์บอนต่ำ มีทั้งรถไฟใต้ดิน รถบัส รถราง และเรือข้ามฟากที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายรถไฟประเทศ ที่สำคัญตั้งแต่ปี 2017 รถทุกประเภทใช้พลังงานหมุนเวียน 100% และตั้งเป้า Net Zero ภายในปี 2030
- โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก
เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่า จักรยานเป็นใหญ่ โดยกว่า 62% ของชาวเมืองปั่นจักรยานไปทำงานทุกวัน ควบคู่กับระบบขนส่งสาธารณะหลายรูปแบบที่มีให้บริการตลอด 24 ชม. เมืองยังลงทุนขยายรถไฟใต้ดินสาย M5 (อนุมัติปี 2025) ที่จะเปิดเส้นทางใหม่เชื่อมย่านอยู่อาศัยและเกาะอมาเกอร์ และยังมีแนวคิดการวางแผนระยะยาวในการรองรับผู้โดยสารไปถึงปี 2070
- ปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ปารีสได้รับการยกย่องกับแนวคิด “เมือง 15 นาที” พร้อมเครือข่ายขนส่งหนาแน่น ราคาย่อมเยา (ตั๋วเฉลี่ยเพียง 18% ของค่าอาหารหนึ่งมื้อ) ครอบคลุมทั้งรถไฟใต้ดิน รถราง และ RER นอกจากใช้งานสะดวก ยังเป็นการเดินทางท่ามกลาง ประวัติศาสตร์และศิลปะ เพราะสถานีแต่ละแห่งตกแต่งในสไตล์เฉพาะตัว
- เวียนนา ประเทศออสเตรีย
เวียนนาเป็นหนึ่งในเมืองที่น่าอยู่อันดับต้น ๆ ของโลก เพราะมีระบบขนส่งหลายรูปแบบ ทั้งรถไฟใต้ดิน 5 สาย รถราง 29 สาย และรถบัส 127 เส้นทาง โดดเด่นที่ราคาถูกมาก: ตั๋วรายปีเพียง €365 (ประมาณ 1 ยูโรต่อวัน) ระบบยังมีการใช้ซอฟต์แวร์ขั้นสูงช่วยวางแผนเส้นทาง การสร้าง และการจัดการยานพาหนะไฟฟ้า
- เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี
เบอร์ลินมีจุดเด่นเรื่อง Multimodality หรือการเดินทางหลายรูปแบบในแอปฯ เดียว วางแผนและจ่ายเงินได้ทั้งรถไฟ รถยนต์ และ e-scooter ซึ่งคนเมืองกว่า 97% ให้ความน่าเชื่อถือในเรื่องของความสะดวกและความปลอดภัย และยังมีระบบ Deutschland Ticket เพียง €58 ต่อเดือน ซึ่งใช้ได้ทั่วประเทศ
- ซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
แม้ว่าค่าครองชีพในซูริกจะสูง แต่ระบบขนส่งสาธารณะกลับสามารถเข้าถึงได้ง่าย ทั้งในแง่ของราคาและการใช้บริการ โครงข่ายขนส่งถูกแบบมาเป็นอย่างดี ทั้งในด้านประสิทธิภาพและการเชื่อมต่อ ทำให้แทบทุกสถานีอยู่ในระยะเดินได้ ซูริกยังได้อานิสงส์จากระบบรถไฟของประเทศที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะ Swiss Federal Railways (SBB) ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเครือข่ายรถไฟที่ดีที่สุดในโลก
- ออสโล ประเทศนอร์เวย์
ออสโลขึ้นชื่อเรื่องระบบขนส่งที่พัฒนาอย่างทันสมัยและทำให้การเดินทางในเมือง ง่ายดาย ไม่ว่าจะเดินเท้าหรือขี่จักรยานก็ไม่ไกลจากจุดขนส่งสาธารณะ ค่าใช้จ่ายขนส่งสาธารณะถือว่าประหยัด โดยเฉลี่ยคิดเป็นเพียง 28% ของค่าอาหารต่อวัน ซึ่งน้อยกว่าค่าจอดรถที่คิดเป็นราว 56%
เมืองนี้ตั้งเป้าหมายยิ่งใหญ่คือการเป็นเมืองปลอดการปล่อยมลพิษแห่งแรกของโลกภายในปี 2030 โดยปี 2024 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แซงหน้ารถเครื่องยนต์สันดาปเป็นครั้งแรก
- โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ระบบขนส่งมวลชนของโตเกียวได้รับการยอมรับว่าเป็นเครือข่ายรถไฟเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก ทั้งรถไฟใต้ดินและรถไฟชานเมือง เครือข่ายยังเชื่อมต่อกับรถบัส รถราง รถโมโนเรล รวมถึงระบบรถไฟความเร็วสูง (ชินคันเซ็น) ของญี่ปุ่น ทำให้เดินทางได้ทั้งในเมืองและทั่วประเทศอย่างสะดวก
ไม่เพียงเท่านั้น ในฐานะเมืองที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังวางแผนพัฒนาระบบการเดินทางสาธารณะโดยคำนึงการสนับสนุนการท่องเที่ยวในระยะยาว พร้อมพัฒนาระบบภาษากว่า 12 ภาษาเพื่อความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย
Photo by Oliver Wyman Forum
สำหรับกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ซึ่งอยู่ในกลุ่มเมืองกำลังพัฒนา ภาพรวมของอันดับอยู่ที่ 48 จากทั้งหมด 70 ประเทศที่ระบบสาธารณะดีที่สุด โดยแบ่งออกเป็น 3 หัวข้อการประเมินดังนี้
- ขนส่งสาธารณะ (Public Transit) อยู่ที่อันดับ 46
- การสัญจรอย่างยั่งยืน (Sustainable Mobility) อยู่ที่อันดับ 47
- การนำเทคโนโลยีมาใช้ (Technology Adoption) อยู่ที่อันดับ 53
ซึ่งถือว่ายังตำ่กว่ามาตรฐานที่ไทยควรจะทำได้ สะท้อนถึงปัญหาระบบขนส่งมวลชนที่เป็นปัญหาใหญ่เชิงโครงสร้างของประเทศ
Photo by btsgroup
ล่าสุดรัฐบาลไทยได้มีโครงการ รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เริ่มใช้ 1 ตุลาคม 2025 ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จในแง่การแก้ไขปัญหาความเลื่อมล้ำบางส่วน ที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน และลดปัญหาการจราจรที่ติดขัด แต่การพัฒนาก็ยังต้องทำอย่างต่อเนื่องต่อไป เนื่องจากระบบขนส่งสาธารณะของไทยยังมีรถโดยสารอีกหลายประเภททั้งรถเมล์ รถสองแถว รวมไปถึงรถไฟ เรือ ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ไทย-จีน ที่กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งทั้งหมดถือเป็นระบบขนส่งสาธารณะที่รัฐบาลไทยจะต้องดูแลพัฒนาต่อ ในด้านการกระจายความสะดวกให้เข้าถึงทุกคนทุกพื้นที่ ไม่เพียงแต่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครเท่านั้น เพื่อลดความเจริญที่กระจุกตัว ให้กระจายความเจริญเหล่านี้ไปถึงประชาชนคนไทยทุกคน และเพื่อการประเมินในครั้งต่อไปประเทศไทยจะพัฒนาไปในอันดับที่ดีขึ้นทัดเทียมนานาประเทศ สู่เมืองและประเทศที่ระบบขนส่งสาธารณะดีรองรับการใช้ชีวิตของประชาชน