“ทรัมป์” เผยอยากพบ “คิม จอง อึน” ภายในปี 68 ระหว่างหารือผู้นำเกาหลีใต้
"ทรัมป์" เผยอยากพบ "คิม จอง อึน" ภายในปี 68 ระหว่างการประชุมกับอี แจ-มยอง ผู้นำเกาหลีใต้ที่ทำเนียบขาว โดยอีเน้นความสำคัญของความร่วมมือไตรภาคีสหรัฐ–ญี่ปุ่น–เกาหลีใต้
วันที่ 26 สิงหาคม 2568 เวลา 09.25 น. สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวว่าต้องการพบกับคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ภายในปีนี้ หากตารางงานเอื้ออำนวย โดยทรัมป์แสดงความเห็นระหว่างการประชุมทำเนียบขาวกับ อี แจ-มยอง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้
อี แจ-มยอง ระบุว่าทรัมป์ คือคนเดียวที่สามารถสร้างความคืบหน้าในประเด็นเกาหลีเหนือ และยังกล่าวเชิงหยอกล้อว่าตั้งตารอวันที่จะได้เห็นการก่อสร้าง Trump Tower ในเกาหลีเหนือ
ทรัมป์ยังย้อนถึงการพบกับคิมที่เขตปลอดทหาร (DMZ) เมื่อเดือนมิถุนายน 2562 โดยเล่าว่า ขณะก้าวเท้าเข้าไปยังฝั่งเกาหลีเหนือ เขามองเห็นปืนเล็งอยู่สองฝั่งกระท่อมสีน้ำเงิน แต่กลับบอกว่า“ผมชอบมัน” พร้อมย้ำว่าเขารู้สึกปลอดภัยเพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคิม และเคยใช้เวลาส่วนตัวพูดคุยในหลายประเด็นที่อาจไม่ควรพูดถึงนัก
อี แจ-มยอง เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือไตรภาคีระหว่างสหรัฐ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยกล่าวว่าความสัมพันธ์เกาหลี–ญี่ปุ่นที่ดีขึ้นย่อมเอื้อต่อความสัมพันธ์เกาหลี–สหรัฐ แม้เขาจะหลีกเลี่ยงการตอบโต้ข้อเสนอของทรัมป์ที่ให้พูดถึงปัญหาหญิงบำเรอในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ในถ้อยแถลงที่เตรียมไว้ล่วงหน้า อีได้ยกย่องบทบาทของสหรัฐว่าเป็นผู้สร้างสันติภาพ ไม่ใช่แค่ผู้พิทักษ์สันติภาพ พร้อมชื่นชมความพยายามของทรัมป์ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทั่วโลก
อย่างไรก็ตามความไม่แน่นอนของทรัมป์ยังคงปรากฏ โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นการลดจำนวนทหารสหรัฐในเกาหลีใต้ เขาตอบว่าอาจพิจารณาขอกรรมสิทธิ์ที่ดินฐานทัพแทนการเช่า โดยอ้างถึงเงินลงทุนจำนวนมากที่วอชิงตันทุ่มลงไป
ต่อมา อี แจ-มยอง กล่าวที่ศูนย์วิจัย CSIS ว่า เขาและทรัมป์เห็นพ้องจะทำให้พันธมิตรสหรัฐ–เกาหลีใต้มีความสมดุลและมุ่งสู่อนาคต โดยเกาหลีใต้จะมีบทบาทนำมากขึ้นในการรักษาความมั่นคงบนคาบสมุทรเกาหลี ขณะที่สหรัฐจะหันไปโฟกัสกับความท้าทายจากจีน
อียังให้คำมั่นว่าจะเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม แม้ไม่ได้ระบุจำนวน และกล่าวเป็นนัยว่าการปรับลดกำลังทหารสหรัฐในเกาหลีใต้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความชัดเจนในเส้นทางสู่การปลดอาวุธนิวเคลียร์
ก่อนหน้านี้ Wall Street Journal รายงานว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐกำลังพิจารณาแผนย้ายทหารราว 4,500 นาย ออกจากเกาหลีใต้ไปยังกวม หรือพื้นที่อื่นในอินโด–แปซิฟิก
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนการประชุม ทรัมป์ได้สร้างความประหลาดใจด้วยการโพสต์บน Truth Social เตือนว่าการกวาดล้างทางการเมืองในเกาหลีใต้อาจทำให้สหรัฐไม่สามารถทำธุรกิจในประเทศได้ โดยเขาหมายถึงการดำเนินคดีกับอดีตประธานาธิบดี ยุน ซอก ยอล ภริยา และคณะรัฐมนตรีชุดเก่า ซึ่งล่าสุดทีมอัยการพิเศษเตรียมฟ้องอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง คิม กอน ฮี ในคดีคอร์รัปชันและติดสินบน
ทรัมป์ยังกล่าวหาว่ารัฐบาลใหม่ของเกาหลีใต้บุกค้นโบสถ์และฐานทัพทหารเพื่อหาข้อมูล ซึ่งอีได้ชี้แจงว่าไม่ได้มีการตรวจค้นฐานทัพสหรัฐ แต่เป็นการสืบสวนในโครงสร้างการบังคับบัญชาของกองทัพเกาหลีใต้
แหล่งข่าวทางการทูตสหรัฐระบุว่า ความเห็นของทรัมป์อาจได้รับอิทธิพลจากนักวิจารณ์สายขวาจัด ลอรา ลูเมอร์ ที่เคยเขียนโพสต์โจมตีรัฐบาลใหม่ของเกาหลีใต้ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ยึดอำนาจ
ทรัมป์เองก็เคยแทรกแซงการเมืองภายในของประเทศอื่นมาก่อน เช่น เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เขาได้ออกคำสั่งภาษี 50% ต่อบราซิล เพื่อตอบโต้การดำเนินคดีต่ออดีตประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนาโร
ที่งาน CSIS ในภายหลัง อียังได้กล่าวติดตลกว่า ทีมงานกังวลว่าการประชุมอาจกลายเป็นเหตุการณ์แบบเซเลนสกี หลังจากที่ทรัมป์และรองประธานาธิบดี JD Vance เคยตำหนิประธานาธิบดียูเครนอย่างรุนแรงต่อหน้าสื่อ แต่เขามั่นใจว่าจะไม่เกิดขึ้น เพราะได้อ่านหนังสือ The Art of the Deal ของทรัมป์และเข้าใจกลยุทธ์การเจรจาของผู้นำสหรัฐแล้ว
อดีตนักการทูตเกาหลีใต้ให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดการประชุมสะท้อนถึงความประหลาดใจและพลิกผันมากเกินไป พร้อมเสริมว่าการประชุมสุดยอดไม่ควรเต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดคิดเช่นนี้
อ้างอิง : asia.nikkei.com