ผบก.สอท.1 ส่งสำนวนคดี “คลิปเสียงฮุนเซน” ให้อัยการสูงสุด
ผบก.สอท.1 ส่งสำนวนคดี “คลิปเสียงฮุนเซน” ให้อัยการสูงสุด “พล.ต.ต.ศิริวัฒน์” ชี้ เนื้อหาสั่งไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามในไทย อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายระหว่างประเทศ
วันที่ 8 ส.ค. 2568 ที่ สำนักงานอัยการสูงสุด กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 นำสำนวนคดีคลิปเสียงกล่าวอ้างว่าเป็นสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา สั่งไล่ล่านักการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ในประเทศไทย ให้อัยการสูงสุดเป็นพนักงานสอบสวนพิจารณาคดีตามกฎหมายความผิดนอกราชอาณาจักร โดยมี พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 เป็นผู้มาส่งมอบสำนวนด้วยตนเอง มี น.ส.ฐิติวดี สินธวณรงค์ อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือสำนวนคดี
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาแจ้งความร้องทุกข์กับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเอาผิดสมเด็จฮุนเซน เนื่องจากมีข้อมูลจากสื่อสำนักข่าวต่างประเทศระบุว่า ปรากฏคลิปเสียงสมเด็จฮุนเซนสั่งการให้ลูกน้องคนสนิทไล่ล่านำตัวนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่เห็นต่างกลับมากัมพูชาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม
ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ บช.สอท. เป็นผู้รับผิดชอบคดีดังกล่าว ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะมอบคดีให้ บก.สอท.1 เป็นคณะพนักงานสอบสวน ซึ่งทางคณะพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานและเชื่อว่า คดีดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร โดยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 คดีนอกราชอาณาจักรนั้น อัยการสูงสุดจะต้องเป็นพนักงานสอบสวน จึงนำมาสู่การนำสำนวนคดีจำนวน 50 แผ่น มามอบกราบเรียนแก่อัยการสูงสุดในวันนี้
โดยมูลเหตุคดีดังกล่าวพบว่า เมื่อปี 2566 ได้เกิดเหตุการณ์นักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายตรงข้ามชาวกัมพูชา ชื่อนายพร พันนา ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ โดยผู้ก่อเหตุ 3 ราย ท้องที่ สภ.บ้านฉาง จ.ระยอง ซึ่งปัจจุบันนายพร พันนา ได้ลี้ภัยทางการเมืองไปที่สหรัฐอเมริกาแล้ว โดยคดีดังกล่าวเชื่อได้ว่า สมเด็จฮุนเซนอาจมีส่วนสั่งการผ่านคลิปเสียงที่ปรากฏตามสื่อและนอกจากนี้ยังเชื่อว่า คดีลอบสังหารนายลิม กิมยา นักการเมืองฝ่ายค้านชาวกัมพูชาเมื่อต้นปีที่ผ่านมาที่ย่านบางลำภู ประเทศไทย อาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยรูปแบบพฤติการณ์ที่คล้ายคลึงกัน
ขณะเดียวกัน ยังพบว่ามีลูกน้องคนสนิทของสมเด็จฮุนเซนที่ถูกสั่งการให้รับผิดชอบภารกิจกวาดล้างนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม คือ นายเคลียง ฮวด โดยปรากฏพยานหลักฐานในคลิปเสียงที่ระบุชื่อนายฮวดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้
ดังนั้น พนักงานสอบสวนจึงเห็นว่า ในคดีดังกล่าว งมีผู้ที่อาจจะตกเป็นผู้ต้องหาที่แน่ชัดแล้ว 1 ราย คือสมเด็จฮุนเซน ซึ่งจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ส่วนจะมีบุคคลอื่นรวมทั้งนายฮวดตกเป็นผู้ต้องหาด้วยอีกหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุดที่จะดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมต่อไป
เช่นเดียวกับหน้าที่การแจ้งข้อกล่าวหาสมเด็จฮุนเซนนั้น ก็ให้ทางอัยการสูงสุดเป็นผู้สอบสวนและดำเนินการแจ้งข้อหา หากหลังจากที่อัยการสูงสุดดำเนินการสอบสวน และเห็นควรแจ้งข้อหาผู้ต้องหาแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการขออำนาจศาลออกหมายจับ เมื่อนั้นจึงจะประสานตำรวจสากลเพื่อออกหมายแดงต่อไป เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมดอยู่นอกราชอาณาจักร แต่ตอนนี้ต้องดำเนินการขั้นตอนตามกฎหมายภายในประเทศให้เรียบร้อยก่อน
ส่วนประเด็นเรื่องคดีคลิปเสียงระหว่างสมเด็จฮุนเซนและ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมนั้น ทางตำรวจไซเบอร์ 1 เพิ่งร่วมประชุมกับสำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อกำหนดแนวทางและการสอบสวนบุคคลเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะสอบสวนคดีแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคมนี้
ด้าน น.ส.ฐิติวดี เปิดเผยว่า หลังจากนี้จะรับสำนวนคดีส่งไปยังสำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาต่อไปว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีนอกราชอาณาจักรหรือไม่ หากเห็นว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ก็จะทำหนังสือเสนอกราบเรียนอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป ซึ่งดูจากพฤติการณ์โดยสังเขปแล้ว คาดว่าคดีดังกล่าวน่าจะเป็นคดีนอกราชอาณาจักรที่อัยการสูงสุดเป็นพนักงานสอบสวนตามกฎหมาย ส่วนกรอบเวลาการพิจารณานั้น ขึ้นอยู่กับรายละเอียดสำนวนคดีที่ต้องพิจารณา