ครึ่งปีหลัง GDP ไทยเสี่ยงชะลอ หวั่น!ภาษีทรัมป์กระทบส่งออก
นายเคนเน็ท โดนัลท์ นีลเวล นักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง เนื่องจากเป็นมาตรการที่รัฐบาลใช้เพื่อรับมือกับปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ พร้อมชี้ว่า อัตราภาษีนำเข้าในยุครัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1930 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของนโยบายกีดกันทางการค้า ก่อนที่โลกจะเข้าสู่ยุคการค้าเสรีกว่า 40 ปี
พร้อมระบุว่า แม้การค้าเสรีตลอด 4 ทศวรรษที่ผ่านมา จะสร้างประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ราคาสินค้าลดลงและกระตุ้นกิจกรรมเศรษฐกิจโดยรวม แต่ก็สร้างผลเสียต่อภาคการผลิตและการจ้างงานในสหรัฐฯ เนื่องจากบริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียและจีน เพื่อใช้ต้นทุนแรงงานที่ต่ำ ส่งผลให้นำเข้าพุ่งขึ้นและขาดดุลการค้าต่อเนื่อง
ทั้งนี้ แรงงานในภาคการผลิตจึงได้รับผลกระทบหนักที่สุด สูญเสียงานจำนวนมาก จนก่อให้เกิดแรงกดดันทางการเมืองเพื่อนำงานและการลงทุนกลับสู่ประเทศ ซึ่งปรากฏชัดตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา และแม้จะเปลี่ยนรัฐบาลเป็นพรรคเดโมแครต ก็ยังคงมีเป้าหมายเดียวกัน
นายเคนเน็ท มองว่าปัญหาการค้าโลกยังมีความไม่สมดุล โดยสหรัฐฯ เป็นผู้บริโภครายใหญ่ ขณะที่หลายประเทศโดยเฉพาะจีนพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ผ่านการส่งออก อีกทั้งสหรัฐฯ ยังเผชิญ “การขาดดุลแฝด” ทั้งดุลการค้าและดุลการคลัง โดยมีหนี้สาธารณะสูงถึง 120% ของ GDP สร้างความกังวลต่อมูลค่าเงินสกุลดอลลาร์
เป้าหมายสูงสุดของสหรัฐฯ คือดึงการลงทุนต่างประเทศกลับมา เพื่อสร้างรายได้และการจ้างงาน รวมถึงลดปัญหาขาดดุลแฝด ภาษีนำเข้าจึงไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่ง
นอกจากนี้ นายเคนเน็ท ยังระบุว่า ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ขาดดุลกับสหรัฐฯ ถูกเก็บภาษีราว 10% กลุ่มที่เกินดุล เช่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกเก็บราว 20% และกลุ่มที่มีความขัดแย้งทางการเมืองหรือเป็นประเทศ BRICS อาจถูกเก็บสูงถึง 40-50% เช่น บราซิล
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยังจับตาสินค้าที่ถูกมองว่า“สวมสิทธิ์จากจีน” ซึ่งอาจเก็บภาษีสูงถึง 40% เพื่อปิดช่องโหว่การส่งผ่านประเทศที่สาม โดยมีการระบุว่าจีนมักส่งสินค้าผ่านเวียดนาม มาเลเซีย และไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
ขณะที่นายลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ นักเศรษฐศาสตร์ KKP กล่าวว่า เทรนด์การค้าโลกในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และไม่ว่าอย่างไร ประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม นายลัทธกิตติ์ ชี้ให้เห็นว่า จากการปรับภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะมีผู้ได้รับผลกระทบหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ส่งออกไทยที่ถูกกระทบโดยตรงจากต้นทุนภาษี, ผู้นำเข้าสหรัฐฯ ที่ต้องซื้อสินค้าราคาสูงขึ้น และผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่อาจต้องจ่ายราคาสินค้าแพงขึ้นเนื่องจากต้นทุนถูกส่งต่อ
สรุปง่าย ๆ คือ ภาษี 19% ไม่ได้หมายความว่าผู้บริโภคสหรัฐจ่ายเพิ่ม 19% และผู้ส่งออกไทยได้เงินเท่าเดิม เพราะมีการแชร์ผลกระทบกันระหว่าง 3 กลุ่ม ตัวเลขประมาณอาจเป็น 1 ใน 3 แต่ต้องติดตามผลจริง
สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย นายลัทธกิตติ์ อธิบายว่ามี 3 ประเด็นสำคัญ คือ อัตราภาษี 19% เป็นระดับใกล้เคียงกับประเทศอื่นในภูมิภาค แม้ดูเหมือนเป็นข่าวดี แต่ยังมีประเด็นที่น่ากังวล, การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ไม่ใช่ทุกสินค้าจะได้รับผลกระทบ เพราะมีสินค้าสวมสิทธิ์ (transshipment) ที่นำเข้าจากประเทศอื่นแล้วส่งออกต่อ และเทรนด์การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ไม่ใช่เกิดจากภาษีสหรัฐเพียงอย่างเดียว
โดยเตือนว่า สินค้าสวมสิทธิ์ที่มีมูลค่าเพิ่มจากไทยต่ำกว่าเกณฑ์ RVC (Regional Value Content) อาจถูกสหรัฐเก็บภาษีสูงถึง 40% ซึ่งทำให้ไทยอาจเสียเปรียบมากกว่าประเทศอื่น และโมเดลการลงทุนจากจีนในไทยอาจได้รับผลกระทบ หากจีนถูกเก็บภาษีต่ำกว่าไทย และนักลงทุนจีนอาจไม่จำเป็นต้องตั้งฐานการผลิตในไทยอีกต่อไป
สิ่งที่ต้องติดตามคือ นิยามของ RVC และเปอร์เซ็นต์ที่กำหนด เพราะหากสินค้าที่ผลิตในไทยมีมูลค่าเพิ่มต่ำกว่าเกณฑ์ อาจถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% ส่งผลต่อแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในอนาคต
ทั้งนี้ นายลัทธกิตติ์ ระบุว่า การประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากการขึ้นภาษีไม่สามารถดูเพียงการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงอย่างเดียวได้ เพราะโครงสร้างการส่งออกและการผลิตของไทยเปลี่ยนไปมาก ตัวอย่างเช่น ตั้งแต่ปี 2021 การส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมในประเทศแทบไม่เพิ่มขึ้น แสดงว่าสินค้าส่วนใหญ่ที่ส่งออกไปนั้นไม่ได้ผลิตในประเทศ แต่เป็นการนำเข้ามาส่งออกต่อ
สำหรับการแบ่งกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบ สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1.) กลุ่ม High Value Added: สินค้าที่ผลิตในประเทศมาก มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น ข้าว ยางพารา และอาหารสัตว์ จะถูกเก็บภาษี 19% สัดส่วนการส่งออกอยู่ประมาณ 15–30%
2.) กลุ่ม Low-to-Medium Value Added: สินค้าที่ไทยผลิตจริงแต่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ มีความเสี่ยงถูกนับเป็นสินค้าสวมสิทธิ์และถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% สัดส่วน 10–25% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ ถือว่าน่ากังวลที่สุด
3.) กลุ่ม Low Value Added: สินค้านำเข้ามาส่งออกต่อ เช่น WiFi Router หรือแผงโซล่าเซลล์ สัดส่วนประมาณ 30% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ แม้ถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจำกัดเพราะไทยไม่ได้ผลิตสินค้าเหล่านี้เอง
นอกจากนี้ ยังมีรายการสินค้าที่สหรัฐฯ ยกเว้นภาษี เช่น คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และ Data Processing คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมยังไม่สูงนัก
อย่างไรก็ดี นายลัทธกิตติ์ ประเมินว่า หากยังมีรายการยกเว้นภาษี จะส่งผลกระทบต่อ GDP ต่อปีอยู่ในช่วง 0.3–0.7% แต่หากยกเลิกลิสต์นี้ ผลกระทบจะเพิ่มเป็น 0.7–1.1% และผลกระทบจริงอาจเกิดขึ้นปีหน้า เนื่องจากเหลือเวลาในปีนี้เพียงไม่กี่เดือน
โดยยังเน้นว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ไม่ได้เกิดจากภาษีหรือการค้าโลกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหา เชิงโครงสร้าง ของประเทศ เช่น ความสามารถแข่งขันและ productivity ภาคเกษตรที่ยังต่ำ ทำให้การฟื้นตัวช้า
ทั้งนี้ การเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วมในบางสินค้าจะทำให้เกิด ต้นทุนระยะสั้น เช่น การแข่งขันในประเทศสูงขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่งถือเป็น โอกาสปรับตัวและพัฒนาผลิตภาพ ของผู้ผลิตไทย เพื่อให้แข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น
นายลัทธกิตติ์ ยังสรุปว่า แม้จะมีต้นทุนระยะสั้น แต่ประเทศไทยสามารถใช้มาตรการเยียวยาและนวัตกรรมเพื่อเพิ่ม productivity ของผู้ผลิตไทย ทำให้ผลกระทบจากการเปิดตลาดและการขึ้นภาษีไม่กระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP กล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกได้รับแรงหนุนจากการส่งออกที่โตสูงแบบ front-loaded ส่งผลให้คาดว่า GDP ไตรมาส 2 ปีนี้ จะอยู่ราว 2.2% หากตัวเลขจริงสูงกว่าที่คาด อาจมีการปรับเพิ่มได้ อย่างไรก็ตาม ครึ่งหลังของปียังมีความเสี่ยงสูงต่อการชะลอตัวของการส่งออก โดยเฉพาะจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน การค้าชายแดน และภาคอุตสาหกรรมไทย
สำหรับภาคเกษตร ดร.พิพัฒน์ ชี้ว่า สินค้าที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ถั่วเหลือง ข้าวโพด และหมู โดยเฉพาะหมูซึ่งเกี่ยวข้องกับเกษตรกรจำนวนมาก การปรับนโยบายจึงต้องทำอย่างระมัดระวัง พร้อมมาตรการรองรับ เช่น ลดต้นทุนการผลิต ปรับเทคโนโลยี และส่งเสริมอาชีพทางเลือก ขณะที่การเปิดเสรีการนำเข้าสินค้าบางประเภทยังต้องควบคุม เพื่อปกป้องห่วงโซ่การผลิตอาหารและอาหารสัตว์
ด้านนโยบายการเงิน ที่ กนง. ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% เหลือ 1.50% ดร.พิพัฒน์ คาดว่าจะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือน เพิ่มความเชื่อมั่นผู้บริโภค และกระตุ้นการลงทุน เมื่อต้นทุนทางการเงินที่ลดลง จะทำให้การตัดสินใจซื้อรถ บ้าน และสินค้าต่างๆ ง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน ระบบการชำระเงิน และสถาบันการเงิน เพื่อรับมือความเสี่ยงทั้งระยะสั้นและระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ดร.พิพัฒน์ประเมินว่า ไตรมาสที่เหลือของปีนี้ (Q3–Q4) และต้นปีหน้า (Q1–Q2) ตัวเลข GDP น่าจะต่ำลง เนื่องจากการส่งออกที่โตสูงในครึ่งปีแรกจะเริ่มชะลอตัว แม้ทั้งปีที่มีการคาดว่า GDP จะอยู่ราว 4–5% แต่ครึ่งปีแรกตัวเลขส่งออกโตถึง 10–20% ทำให้ช่วงที่เหลืออาจติดลบได้ จึงต้องติดตามตัวเลขอย่างใกล้ชิด และ KKP จะปรับประมาณการอีกครั้งเมื่อมีตัวเลขออกมาชัดเจน
นอกจากนี้ ดร.พิพัฒน์ยังเน้นย้ำความสำคัญของการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เพื่อดึงดูดการลงทุนต่างประเทศ เพิ่มทักษะแรงงาน ปรับโครงสร้างภาคเกษตรและอุตสาหกรรม พัฒนาเทคโนโลยี ปรับปรุงกฎหมาย และกระจายทรัพยากร ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Productivity และมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยแข่งขันได้ในเวทีโลก และลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มั่นใจส่งออกอัญมณีปีนี้พุ่งเกิน 5% แม้ตลาดหลักเป็นสหรัฐก็ไม่หวั่นภาษี
ลดภาระคนส่งบ้าน! ธอส. ประกาศปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อย MRR 0.25% ต่อปี
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ครึ่งปีหลัง GDP ไทยเสี่ยงชะลอ หวั่น!ภาษีทรัมป์กระทบส่งออก
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com