โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ครึ่งปีหลัง GDP ไทยเสี่ยงชะลอ หวั่น!ภาษีทรัมป์กระทบส่งออก

PPTV HD 36

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา
KKP ชี้ GDP ไทย Q3-Q4 เสี่ยงชะลอ หลังเร่งส่งออกครึ่งปีแรก ลั่น! ภาษีสหรัฐฯ กระทบการส่งออกและต้นทุนผู้ผลิตไทย

นายเคนเน็ท โดนัลท์ นีลเวล นักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง เนื่องจากเป็นมาตรการที่รัฐบาลใช้เพื่อรับมือกับปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ พร้อมชี้ว่า อัตราภาษีนำเข้าในยุครัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1930 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของนโยบายกีดกันทางการค้า ก่อนที่โลกจะเข้าสู่ยุคการค้าเสรีกว่า 40 ปี

พร้อมระบุว่า แม้การค้าเสรีตลอด 4 ทศวรรษที่ผ่านมา จะสร้างประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ราคาสินค้าลดลงและกระตุ้นกิจกรรมเศรษฐกิจโดยรวม แต่ก็สร้างผลเสียต่อภาคการผลิตและการจ้างงานในสหรัฐฯ เนื่องจากบริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียและจีน เพื่อใช้ต้นทุนแรงงานที่ต่ำ ส่งผลให้นำเข้าพุ่งขึ้นและขาดดุลการค้าต่อเนื่อง

ทั้งนี้ แรงงานในภาคการผลิตจึงได้รับผลกระทบหนักที่สุด สูญเสียงานจำนวนมาก จนก่อให้เกิดแรงกดดันทางการเมืองเพื่อนำงานและการลงทุนกลับสู่ประเทศ ซึ่งปรากฏชัดตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา และแม้จะเปลี่ยนรัฐบาลเป็นพรรคเดโมแครต ก็ยังคงมีเป้าหมายเดียวกัน

นายเคนเน็ท มองว่าปัญหาการค้าโลกยังมีความไม่สมดุล โดยสหรัฐฯ เป็นผู้บริโภครายใหญ่ ขณะที่หลายประเทศโดยเฉพาะจีนพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ผ่านการส่งออก อีกทั้งสหรัฐฯ ยังเผชิญ “การขาดดุลแฝด” ทั้งดุลการค้าและดุลการคลัง โดยมีหนี้สาธารณะสูงถึง 120% ของ GDP สร้างความกังวลต่อมูลค่าเงินสกุลดอลลาร์

เป้าหมายสูงสุดของสหรัฐฯ คือดึงการลงทุนต่างประเทศกลับมา เพื่อสร้างรายได้และการจ้างงาน รวมถึงลดปัญหาขาดดุลแฝด ภาษีนำเข้าจึงไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่ง

นอกจากนี้ นายเคนเน็ท ยังระบุว่า ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ขาดดุลกับสหรัฐฯ ถูกเก็บภาษีราว 10% กลุ่มที่เกินดุล เช่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกเก็บราว 20% และกลุ่มที่มีความขัดแย้งทางการเมืองหรือเป็นประเทศ BRICS อาจถูกเก็บสูงถึง 40-50% เช่น บราซิล

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยังจับตาสินค้าที่ถูกมองว่า“สวมสิทธิ์จากจีน” ซึ่งอาจเก็บภาษีสูงถึง 40% เพื่อปิดช่องโหว่การส่งผ่านประเทศที่สาม โดยมีการระบุว่าจีนมักส่งสินค้าผ่านเวียดนาม มาเลเซีย และไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี

ขณะที่นายลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ นักเศรษฐศาสตร์ KKP กล่าวว่า เทรนด์การค้าโลกในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และไม่ว่าอย่างไร ประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม นายลัทธกิตติ์ ชี้ให้เห็นว่า จากการปรับภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะมีผู้ได้รับผลกระทบหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ส่งออกไทยที่ถูกกระทบโดยตรงจากต้นทุนภาษี, ผู้นำเข้าสหรัฐฯ ที่ต้องซื้อสินค้าราคาสูงขึ้น และผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่อาจต้องจ่ายราคาสินค้าแพงขึ้นเนื่องจากต้นทุนถูกส่งต่อ

สรุปง่าย ๆ คือ ภาษี 19% ไม่ได้หมายความว่าผู้บริโภคสหรัฐจ่ายเพิ่ม 19% และผู้ส่งออกไทยได้เงินเท่าเดิม เพราะมีการแชร์ผลกระทบกันระหว่าง 3 กลุ่ม ตัวเลขประมาณอาจเป็น 1 ใน 3 แต่ต้องติดตามผลจริง

สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย นายลัทธกิตติ์ อธิบายว่ามี 3 ประเด็นสำคัญ คือ อัตราภาษี 19% เป็นระดับใกล้เคียงกับประเทศอื่นในภูมิภาค แม้ดูเหมือนเป็นข่าวดี แต่ยังมีประเด็นที่น่ากังวล, การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ไม่ใช่ทุกสินค้าจะได้รับผลกระทบ เพราะมีสินค้าสวมสิทธิ์ (transshipment) ที่นำเข้าจากประเทศอื่นแล้วส่งออกต่อ และเทรนด์การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ไม่ใช่เกิดจากภาษีสหรัฐเพียงอย่างเดียว

โดยเตือนว่า สินค้าสวมสิทธิ์ที่มีมูลค่าเพิ่มจากไทยต่ำกว่าเกณฑ์ RVC (Regional Value Content) อาจถูกสหรัฐเก็บภาษีสูงถึง 40% ซึ่งทำให้ไทยอาจเสียเปรียบมากกว่าประเทศอื่น และโมเดลการลงทุนจากจีนในไทยอาจได้รับผลกระทบ หากจีนถูกเก็บภาษีต่ำกว่าไทย และนักลงทุนจีนอาจไม่จำเป็นต้องตั้งฐานการผลิตในไทยอีกต่อไป

สิ่งที่ต้องติดตามคือ นิยามของ RVC และเปอร์เซ็นต์ที่กำหนด เพราะหากสินค้าที่ผลิตในไทยมีมูลค่าเพิ่มต่ำกว่าเกณฑ์ อาจถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% ส่งผลต่อแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในอนาคต

ทั้งนี้ นายลัทธกิตติ์ ระบุว่า การประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากการขึ้นภาษีไม่สามารถดูเพียงการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงอย่างเดียวได้ เพราะโครงสร้างการส่งออกและการผลิตของไทยเปลี่ยนไปมาก ตัวอย่างเช่น ตั้งแต่ปี 2021 การส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมในประเทศแทบไม่เพิ่มขึ้น แสดงว่าสินค้าส่วนใหญ่ที่ส่งออกไปนั้นไม่ได้ผลิตในประเทศ แต่เป็นการนำเข้ามาส่งออกต่อ

สำหรับการแบ่งกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบ สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

1.) กลุ่ม High Value Added: สินค้าที่ผลิตในประเทศมาก มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น ข้าว ยางพารา และอาหารสัตว์ จะถูกเก็บภาษี 19% สัดส่วนการส่งออกอยู่ประมาณ 15–30%

2.) กลุ่ม Low-to-Medium Value Added: สินค้าที่ไทยผลิตจริงแต่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ มีความเสี่ยงถูกนับเป็นสินค้าสวมสิทธิ์และถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% สัดส่วน 10–25% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ ถือว่าน่ากังวลที่สุด

3.) กลุ่ม Low Value Added: สินค้านำเข้ามาส่งออกต่อ เช่น WiFi Router หรือแผงโซล่าเซลล์ สัดส่วนประมาณ 30% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ แม้ถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจำกัดเพราะไทยไม่ได้ผลิตสินค้าเหล่านี้เอง

นอกจากนี้ ยังมีรายการสินค้าที่สหรัฐฯ ยกเว้นภาษี เช่น คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และ Data Processing คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมยังไม่สูงนัก

อย่างไรก็ดี นายลัทธกิตติ์ ประเมินว่า หากยังมีรายการยกเว้นภาษี จะส่งผลกระทบต่อ GDP ต่อปีอยู่ในช่วง 0.3–0.7% แต่หากยกเลิกลิสต์นี้ ผลกระทบจะเพิ่มเป็น 0.7–1.1% และผลกระทบจริงอาจเกิดขึ้นปีหน้า เนื่องจากเหลือเวลาในปีนี้เพียงไม่กี่เดือน

โดยยังเน้นว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ไม่ได้เกิดจากภาษีหรือการค้าโลกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหา เชิงโครงสร้าง ของประเทศ เช่น ความสามารถแข่งขันและ productivity ภาคเกษตรที่ยังต่ำ ทำให้การฟื้นตัวช้า

ทั้งนี้ การเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วมในบางสินค้าจะทำให้เกิด ต้นทุนระยะสั้น เช่น การแข่งขันในประเทศสูงขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่งถือเป็น โอกาสปรับตัวและพัฒนาผลิตภาพ ของผู้ผลิตไทย เพื่อให้แข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น

นายลัทธกิตติ์ ยังสรุปว่า แม้จะมีต้นทุนระยะสั้น แต่ประเทศไทยสามารถใช้มาตรการเยียวยาและนวัตกรรมเพื่อเพิ่ม productivity ของผู้ผลิตไทย ทำให้ผลกระทบจากการเปิดตลาดและการขึ้นภาษีไม่กระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ

ด้านดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP กล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกได้รับแรงหนุนจากการส่งออกที่โตสูงแบบ front-loaded ส่งผลให้คาดว่า GDP ไตรมาส 2 ปีนี้ จะอยู่ราว 2.2% หากตัวเลขจริงสูงกว่าที่คาด อาจมีการปรับเพิ่มได้ อย่างไรก็ตาม ครึ่งหลังของปียังมีความเสี่ยงสูงต่อการชะลอตัวของการส่งออก โดยเฉพาะจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน การค้าชายแดน และภาคอุตสาหกรรมไทย

สำหรับภาคเกษตร ดร.พิพัฒน์ ชี้ว่า สินค้าที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ถั่วเหลือง ข้าวโพด และหมู โดยเฉพาะหมูซึ่งเกี่ยวข้องกับเกษตรกรจำนวนมาก การปรับนโยบายจึงต้องทำอย่างระมัดระวัง พร้อมมาตรการรองรับ เช่น ลดต้นทุนการผลิต ปรับเทคโนโลยี และส่งเสริมอาชีพทางเลือก ขณะที่การเปิดเสรีการนำเข้าสินค้าบางประเภทยังต้องควบคุม เพื่อปกป้องห่วงโซ่การผลิตอาหารและอาหารสัตว์

ด้านนโยบายการเงิน ที่ กนง. ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% เหลือ 1.50% ดร.พิพัฒน์ คาดว่าจะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือน เพิ่มความเชื่อมั่นผู้บริโภค และกระตุ้นการลงทุน เมื่อต้นทุนทางการเงินที่ลดลง จะทำให้การตัดสินใจซื้อรถ บ้าน และสินค้าต่างๆ ง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน ระบบการชำระเงิน และสถาบันการเงิน เพื่อรับมือความเสี่ยงทั้งระยะสั้นและระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ดร.พิพัฒน์ประเมินว่า ไตรมาสที่เหลือของปีนี้ (Q3–Q4) และต้นปีหน้า (Q1–Q2) ตัวเลข GDP น่าจะต่ำลง เนื่องจากการส่งออกที่โตสูงในครึ่งปีแรกจะเริ่มชะลอตัว แม้ทั้งปีที่มีการคาดว่า GDP จะอยู่ราว 4–5% แต่ครึ่งปีแรกตัวเลขส่งออกโตถึง 10–20% ทำให้ช่วงที่เหลืออาจติดลบได้ จึงต้องติดตามตัวเลขอย่างใกล้ชิด และ KKP จะปรับประมาณการอีกครั้งเมื่อมีตัวเลขออกมาชัดเจน

นอกจากนี้ ดร.พิพัฒน์ยังเน้นย้ำความสำคัญของการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เพื่อดึงดูดการลงทุนต่างประเทศ เพิ่มทักษะแรงงาน ปรับโครงสร้างภาคเกษตรและอุตสาหกรรม พัฒนาเทคโนโลยี ปรับปรุงกฎหมาย และกระจายทรัพยากร ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Productivity และมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยแข่งขันได้ในเวทีโลก และลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มั่นใจส่งออกอัญมณีปีนี้พุ่งเกิน 5% แม้ตลาดหลักเป็นสหรัฐก็ไม่หวั่นภาษี

ลดภาระคนส่งบ้าน! ธอส. ประกาศปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อย MRR 0.25% ต่อปี

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ครึ่งปีหลัง GDP ไทยเสี่ยงชะลอ หวั่น!ภาษีทรัมป์กระทบส่งออก

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่

- Website : https://www.pptvhd36.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก PPTV HD 36

16 ส.ค. 68! "น้ำประปาไม่ไหล" 3 พื้นที่ ตั้งแต่คลองมหาชั้น ถึงคลองเจริญราษฎร์

49 นาทีที่แล้ว

ตำรวจบุกทลาย ผับจีนลักลอบเปิดย่านห้วยขวาง พบนักท่องเที่ยวฉี่ม่วง 6 ราย

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ย้ำ! เกษตรกรชาวนา เร่งขึ้นทะเบียนและปรับปรุงข้อมูลทางทะเบียน"ไร่ละพัน"

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

Battle Fatigue ความเหนื่อยล้าจากการสู้รบ ร่างกายพร้อม แต่ใจเริ่มหมดแรง

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

"พลังงาน-อุตฯ" ผนึกกำลังเร่งออก กม.ให้ทุกบ้านติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้เอง หนุนใช้พลังงานสะอาด

สยามรัฐ

"KBANK" ให้กรอบเงินบาทสัปดาห์หน้าที่ 32.10-32.80 บาท จับตา GDP-ส่งออกไทย-ถ้อยแถลงเฟด

สยามรัฐ

ยื้อ อยู่ แย่

สยามรัฐ

เงินทุนน้อย เล่นหุ้นกี่ชาติก็ไม่รวย เปิดมุมมองลงทุนฉบับ มด มนสิช "แมงเม่าคลับ"

TNN ช่อง16

รัฐบาลย้ำ เกษตรกร เร่งขึ้นทะเบียน-ปรับปรุงข้อมูลทะเบียนปีการผลิต 2568/69

การเงินธนาคาร

ราคาทองวันนี้ (16 ส.ค.) เปิดตลาด ปรับขึ้น 50 บาท/บาททองคำ ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 52,200

การเงินธนาคาร

“ลุงติดเกาะ” วิดีโอ AI สุดไวรัลจาก TikTok สู่แคมเปญการตลาด แบรนด์ดังแห่ร่วมเทรนด์

The Better

"กสิกรฯ" มองวีคหน้ากรอบดัชนี SET ที่ 1,215-1,300 จุด เกาะติด GDP ไทย-ถ้อยแถลงเฟด-Fund Flow

สยามรัฐ

ข่าวและบทความยอดนิยม

ดูบอลสด !! พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล พบ บอร์นมัธ 15 ส.ค.68

PPTV HD 36

16 ส.ค. 68! กฟน. ประกาศ "ดับไฟ" 31 จุด ใน กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี

PPTV HD 36

ผลบอลพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล ชนะ บอร์นมัธ 4-2 ซาล่าห์ ยิงปิดกล่อง

PPTV HD 36
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...