ยื้อ อยู่ แย่
วันชี้ชะตา “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ถูกกำหนดมาแล้ว 29 สิงหาคม 68 “นายกฯอิ๊งค์” จะอยู่หรือไป ต้องไปรอลุ้นคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ในคดีคลิปเสียงกันในวันนั้น
แต่กว่าจะถึงวันพิพากษา เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ข้างหน้า “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ผู้กำกับตัวจริง หลังม่านครม.และพรรคเพื่อไทย จะต้องหาทางทั้งรับมือ ไปพร้อมๆกับการแก้ไข “วิกฤต” ทั้งในทาง “การเมือง” ที่ศึกในปะทุพร้อมปะทะกับ “ฝ่ายต่อต้าน” ทั้งใน นอกสภาฯ
มิหนำซ้ำ “ศึกนอก” ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่มีอะไรที่น่าไว้วางใจ แม้จะอยู่ในระหว่างการหยุดยิง แต่ปรากฏว่ายังมีทหารไทยเหยียบกับระเบิด ที่ทหารเขมรเอามาวางไว้ในเขตแดนของฝั่งไทย จนบาดเจ็บและเสียขากันไปด้วยกันถึง 5 ราย
การดำรงอยู่ของรัฐบาล ที่แม้จะมี “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ทำหน้าที่ “รักษาการนายกฯ” รับจบในทุกๆเรื่อง แต่ถึงกระนั้น ยังมีเสียงเรียกร้องให้แพทองธาร ต้องออกมาขับเคลื่อนงานที่เกี่ยวข้องหรือเป็นการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาราชการแผ่นดิน เพราะอย่าลืมว่าเธอยังมีอีกหนึ่งเก้าอี้ ที่เอาไว้รองรับ คือ “รมว.วัฒนธรรม”
แม้รัฐมนตรีและคนในพรรคเพื่อไทยต่างประสานเสียง แสดงความเชื่อมั่นในห้วงหลายวันที่ผ่านมา ว่า นายกฯแพทองธาร ยังมีกำลังใจที่ดี และที่แน่ๆยังไม่คิด “ลาออก” จากตำแหน่ง ก่อนถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัยแน่นอน
เพราะหากจะให้นายกฯแพทองธาร ชิงลาออก ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย เท่ากับว่าเธอเองยอมรับว่าผิด เพราะไปสนทนากับ “สมเด็จ ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา จนหลุดคำพูดในทำนองว่าขออะไรก็ให้หมด และพาดพิง “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 ว่า “ไม่ได้อยู่ข้างเดียวกัน” จนนำไปสู่ “36 สว.” เปิดปฏิบัติการยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภา ให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณา ในที่สุด
และหากเลือกลาออกก่อน ตาม “แรงกดดัน” จากฝ่ายตรงข้าม ก็จะกลายเป็น “เข้าทาง” ปล่อยให้ “อำนาจ”หลุดมือ จากพรรคเพื่อไทย ไปถึงมือ “แคนดิเดตนายกฯ” ที่ยังมีชื่ออยู่บัญชี
การหายหน้าหายตาของนายกฯแพทองธาร ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ “หยุดปฏิบัติหน้าที่” จากคดีคลิปเสียงคุยกับสมเด็จ ฮุน เซน ยิ่งทำให้สถานการณ์ทางการเมือง ย่ำแย่ และเลวร้ายมากยิ่งขึ้น แต่หากจะให้เธอออกมาเคลื่อนไหว หรือแม้แต่การให้สัมภาษณ์ ประเด็นที่เกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ก็อาจยิ่ง “ติดลบ” เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้
เมื่อนายกฯแพทองธาร คือคนในครอบครัวชินวัตร ที่มีความสนิทชิดเชื้อกับ “ครอบครัวฮุน เซน” จากรุ่นพ่อมาถึงรุ่นลูก ดังนั้นความสัมพันธ์ “สองตระกูล” จึงกลายเป็น “ปัญหาใหญ่” ทั้งต่อตัวนายกฯแพทองธาร ลุกลามไปถึงการทำงานของรัฐบาล “ความไม่เชื่อถือ” ขยายวงกลายเป็น “ความไม่ไว้วางใจ” ว่ารัฐบาลจะคลี่คลายปัญหาการปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ได้จริงหรือไม่ และ รัฐบาลเพื่อไทย อยู่ข้างคนไทยจริงหรือไม่
ผลการสำรวจของโพลหลายสำนัก ตลอดห้วงเดือนที่ผ่านมา กำลังสะท้อนในสิ่งที่อาจ “ทิ่มแทง” หัวใจของใครหลายคนในรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย เมื่อถูก “ประชาชน” ประเมินว่า “ไม่เชื่อมั่น” อย่างต่อเนื่อง
“นิด้าโพล” เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา ชี้ว่าประชาชนไว้วางใจ “กองทัพ” มากถึง 75.73 % ในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่ 54.58 % บอกว่าไม่ไว้วางใจ “รัฐบาลไทย” เลย
แน่นอนว่าผลสะท้อนจากนิด้าโพลย่อม ซ้ำเติมปัญหาความเชื่อมั่นที่ประชาชนมองและมีต่อ รัฐบาลเพื่อไทย อย่างชัดเจน แม้ “แกนนำพรรคเพื่อไทย” ไปจนถึง “รัฐมนตรี” ของพรรค จะแสดงออกว่า พวกเขาไม่ได้ “วิตกกังวล” ก็ตาม
แต่หลายฝ่ายรู้ดีว่า ความรู้สึกด้าน “บวก” หรือการที่ “กองทัพ” กุม “กระแสสูง” เช่นนี้ ไม่เป็นผลดีต่อ รัฐบาล อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในภาวะที่รัฐบาล ถูกจับตามาโดยตลอดว่าเดินกันคนละทางกับกองทัพ รัฐบาลฝ่ายพลเรือน จะเลือกอยู่ข้างประชาชน หรือหนุนกัมพูชา กลายเป็นคำถามที่มีขึ้นมาตลอด
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ของนายกฯแพทองธาร ณ วันนี้ กว่าจะถึงวันพิพากษา 29 สิงหา ย่อมไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนัก เพราะอย่าลืมว่า หากผลออกมาในทาง “ลบ” ผลกระทบทางการเมืองจะเกิดขึ้นเป็นเหมือน “โดมิโน”
แพทองธาร คือหัวใจของทักษิณ และที่ผ่านมา ทักษิณเองพยายามรักษาอำนาจ “นายกฯ” เอาไว้ในมือ “ลูกสาว” เพื่อให้ “เพื่อไทย” ได้ไปต่อ และแข็งแรงมากพอ ก่อนถึงวันเลือกตั้งครั้งหน้า
แต่หากแพทองธาร ต้องลุกจากเก้าอี้นายกฯออกไป ย่อมไม่ได้หมายความว่า “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกฯคนสุดท้ายของเพื่อไทย จะได้เป็นนายกฯ ต่อ เพราะในจังหวะ “หัวเลี้ยวหัวต่อ” เช่นนี้นั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น
หรือหากวันพิพากษา 29 สิงหา ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติให้แพทองธาร พ้นบ่วงคดีคลิปเสียง ก็ย่อมไม่ได้หมายความว่า เธอเองจะกลับมาทำหน้าที่ “สร.1”ได้อย่างราบรื่น เพราะหนทางข้างหน้ายังมีกับดัก คือคดีมาตรา 144 ที่พร้อมจะ “กวาด” นักการเมือง และสว. จนแทบหมดกระดาน
แต่เหนืออื่นใด การจะอยู่ต่อ หรือหยุดอยู่ที่คำพิพากษา ในวันที่ 29 สิงหา หรือไม่นั้น ณ เวลานี้ สำหรับพรรคเพื่อไทยและนายกฯแพทองธาร แล้ว แทบไม่มี “ไพ่” เหลือให้เล่นได้อีกต่อไป
โดยเฉพาะ “ความเชื่อมั่น” ที่มีแต่ดิ่งลง จนกู่กันแทบไม่กลับเช่นนี้ ไม่ว่าทักษิณ คิดจะ “ยื้อ” เพื่อ “ซื้อเวลา” ให้ “ลูกสาว” ด้วย “ดีลใหม่” ที่พิสดารกว่าเดิม ก็ตาม ยังไม่มีใครมองเห็น “ทางชนะ” ได้อยู่ดี สุดแต่ว่า แพทองธาร จะบาดเจ็บมากหรือสาหัส ก็เท่านั้น !