ส่องกลยุทธ์ผสม Long Options Only
ในบทความที่แล้วเราได้พาไปรู้จักเครื่องมือดี ๆ อย่าง Options Wizard ที่ช่วยให้การเทรด Options นั้นไหลลื่น ทลายกำแพงการวิเคราะห์และวางกลยุทธ์ที่เคยมองว่ายากให้ง่ายขึ้น ผ่าน 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. คาดการณ์ทิศทาง
2. เลือกอายุสัญญา
3. กำหนดเงินลงทุน
ต่อจากนี้ถึงเวลาที่จะมาต่อยอด เสริมเทคนิคการเทรด Options ด้วยกลยุทธ์ที่ยกระดับขึ้นอีกขั้น นั่นคือ “กลยุทธ์ผสมแบบ Long Options Only” ที่เป็นการนำ Long Call Options และ Long Put Options มาผสมกัน ซึ่งเหมาะกับมุมมองสินค้าอ้างอิงที่จะมีความผันผวนสูงในอนาคต จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในช่วงก่อนประกาศงบการเงิน การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง และเสถียรภาพทางการเมือง เป็นต้น แต่ไม่รู้ว่าจะทำให้สินค้าอ้างอิงขยับขึ้นหรือลง
โดยยังคงข้อดีหลักของ Long Option ไว้ครบถ้วน นั่นคือ
- ความเสี่ยงจำกัด (แค่ค่าพรีเมียม)
- ผลตอบแทนไม่จำกัด (หากราคาเคลื่อนไหวแรง)
บทความนี้จะพาท่านไปรู้จักกับกลยุทธ์ผสมแบบ Long Options Only ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน ไปจนถึงตัวอย่างการนำไปใช้จริง พร้อมสภาวะตลาดที่เหมาะกับแต่ละกลยุทธ์
รู้จัก "Options" ให้มากขึ้น: เครื่องมือเทรดที่ควบคุมความเสี่ยงได้แบบมืออาชีพ
การเทรดในออปชัน (Options) ไม่ต่างจากการเทรดหุ้น หรือฟิวเจอร์ส เพราะเราไม่มีทางรู้อนาคตที่แน่นอน การเตรียมแผนการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างมีสติและเข้าใจเครื่องมือที่ใช้ คือกุญแจสำคัญสู่การอยู่รอดและทำกำไรในตลาดที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
แต่ก่อนจะลงลึก ลองถามตัวเองก่อน… ท่านต้องการเทรดแบบจำกัดการขาดทุนไหม? อยากลุ้นผลตอบแทนสูงโดยไม่ต้องใช้เงินเยอะ?
หรือแค่อยาก "ประกัน" พอร์ตไม่ให้เจ็บหนักเวลาตลาดลงแรง?
ถ้าคำตอบคือ “ใช่” อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วละก็ Options อาจเป็นเครื่องมือที่ใช่สำหรับคุณ โดยผู้เขียนจะพาผู้อ่านไปส่องแนวคิดการสร้างผลตอบแทนจาก “ความผันผวน”
จากที่เกริ่นไปข้างต้น บทความนี้จะเน้นเจาะลึกลงรายละเอียด พร้อมตัวอย่างให้เห็นภาพกับแนวคิดนี้ ผ่านกลยุทธ์ผสมแบบ Long Options Only
ตอบโจทย์ สำหรับผู้ที่มั่นใจว่าสินค้าอ้างอิงจะผันผวนสูงในอนาคต และเคลื่อนตัวออกห่างจากราคาใช้สิทธิ (ถือสถานะถึงวันหมดอายุของสัญญา Options) ในครั้งนี้จะมาแนะนำ 2 กลยุทธ์ที่น่าสนใจ ดังนี้
กลยุทธ์แรก Long Straddle
สามารถสร้างกลยุทธ์ได้โดยเปิด Long Call Options + Long Put Options โดยเน้นที่ราคาใช้สิทธิที่มีสถานะ At The Money กลยุทธ์นี้เรามองว่า SET50 Index จะผันผวนสูงแกว่งตัวออกไปห่างจากราคาใช้สิทธิ แต่ไม่ทราบทิศทาง โดยมีภาพแสดงกำไร/ขาดทุนของกลยุทธ์ Long Straddle ดังนี้
ตัวอย่าง Bobby มอง SET50 Index จะผันผวนสูงในอนาคตแต่ไม่ทราบทิศทางแน่ชัด จึงเปิดเก็งกำไร Options ผ่านการสร้างกลยุทธ์ Straddle โดยเปิด Long Put Options ที่ราคาใช้สิทธิ 800 จุด จ่ายค่าพรีเมียม 24 จุด พร้อมกับเปิด Long Call Options ที่ราคาใช้สิทธิ 800 จุด จ่ายค่าพรีเมียม 19 จุด เมื่อถึงวันหมดอายุของสัญญา SET50 Index พุ่งขึ้นไปที่ 900 จุด (ตัวอย่างไม่รวมค่าธรรมเนียมต่างๆ)
-Bobby จะต้องจ่ายค่าพรีเมียมรวม (24 + 19) x 200 = 8,600 บาท
-จุดคุ้มทุน (Breakeven) ของกลยุทธ์นี้จะมีอยู่ 2 ฝั่ง
- ฝั่งขาขึ้น 800 + (24 + 19) = 843 จุด
- ฝั่งขาลง 800 - (24 + 19) = 757 จุด
-ณ วันหมดอายุ SET50 Index อยู่ที่ 900 จุด Bobby จะได้กำไรจากกลยุทธ์นี้ เท่ากับ (900 - 843) x 200 x 1 = 11,400 บาท
-หากวันหมดอายุ SET50 Index อยู่ที่ 820 จุด Bobby จะขาดทุนจากกลยุทธ์นี้ เท่ากับ (820 - 843) x 200 x 1 = -4,600 บาท
กลยุทธ์นี้มีข้อดี คือ ถ้าตลาดผันผวนสูงจะมีโอกาสทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ข้อเสีย คือ ไม่เหมาะกับสภาวะตลาดที่เป็น Sideways
กลยุทธ์ที่สอง Long Strangle
สามารถสร้างกลยุทธ์ได้โดยเปิด Long Call Options + Long Put Options ที่ราคาใช้สิทธิที่มีสถานะ Out of The Money กลยุทธ์นี้เรามองว่า SET50 Index จะผันผวนสูงกว่ากลยุทธ์ Straddle และไม่ทราบทิศทางเช่นเดียวกัน โดยมีภาพแสดงกำไร/ขาดทุนของกลยุทธ์ Long Strangle ดังนี้
ตัวอย่าง Alice คาด SET50 Index จะผันผวนสูงมากในอนาคตแต่ไม่ทราบทิศทางแน่ชัด จากผลของสงครามการค้าโลก จึงเปิดสถานะใน Options ผ่านการสร้างกลยุทธ์ Strangle โดยเปิด Long Put Options ที่ราคาใช้สิทธิ 780 จุด จ่ายค่าพรีเมียม 15 จุด พร้อมกับเปิด Long Call Options ที่ราคาใช้สิทธิ 820 จุด จ่ายค่าพรีเมียม 12 จุด ปรากฏว่า ณ วันหมดอายุของสัญญา SET50 Index ดิ่งลงไปที่ 720 จุด (ตัวอย่างไม่รวมค่าธรรมเนียมต่างๆ)
- Alice จ่ายค่าพรีเมียมรวม (15 + 12) x 200 = 5,400 บาท
- จุดคุ้มทุน (Breakeven) ของกลยุทธ์นี้จะมีอยู่ 2 ฝั่ง
- ฝั่งขาขึ้น 820 + (15 + 12) = 847 จุด
- ฝั่งขาลง 780 - (15 + 12) = 753 จุด
-ณ วันหมดอายุ SET50 Index อยู่ที่ 720 จุด Alice จะได้กำไรจากกลยุทธ์นี้ เท่ากับ (753 - 720) x 200 x 1 = 6,600 บาท
-ในทางกลับกัน วันหมดอายุ SET50 Index อยู่ที่ 820 จุด Alice จะขาดทุนทั้งสิ้น (820 - 847) x 200 x 1 = -5,400 บาท ซึ่งเท่ากับค่าพรีเมียมรวมที่จ่ายไปตอนเปิดสถานะ
กลยุทธ์นี้มีข้อดี คือ จ่ายพรีเมียมน้อยกว่ากลยุทธ์ Straddle แต่มีข้อเสียที่จุดคุ้มทุนจะกว้างกว่า Straddle
ข้อสังเกต
- หากราคาวิ่งแรงในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง จะให้กำไรมากสูงกว่าค่าพรีเมียมที่จ่ายออกไป
- กลยุทธ์ Long Strangle จะจ่ายพรีเมียมน้อยกว่า กลยุทธ์ Long Straddle เพราะเลือก Options ที่มีสถานะ Out of The Money
- กลยุทธ์ที่แนะนำนี้ไม่เหมาะกับสภาวะตลาดที่เป็นแบบ Sideways
ทิ้งท้าย บทความนี้น่าจะช่วยให้นักเทรดมือใหม่เข้าใจกลยุทธ์ผสม Long Options Only มากขึ้น และสามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมในสภาวะที่ตลาดมีความไม่แน่นอน และผันผวนสูง พร้อมกับจำกัดความเสี่ยงขาลงของพอร์ตได้ด้วย
ในตอนหน้าจะมานำเสนอเพิ่มอีก 2 กลยุทธ์ สำหรับนักเทรดที่สนใจศึกษาข้อมูลเรื่อง Options แบบละเอียดยิ่งขึ้น พร้อมตัวอย่าง และภาพประกอบ สามารถติดตามจากรายงาน Long Options Insights ของหลักทรัพย์บัวหลวงได้ทุกวัน ผ่านแอป Wealth Connex > Wealth Idea หรือ Streaming > เมนู BLS > เมนู Futures & Options > เมนู Futures Commentary รวมทั้ง ติดตามได้ผ่านช่องทางอีเมลที่ท่านลงทะเบียนกับบริษัท
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ส่องกลยุทธ์ผสม Long Options Only
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath