“ฟ็อกซ์คอนน์” กำไรพุ่ง 27% รับแรงหนุนธุรกิจเซิร์ฟเวอร์ AI คาดโตต่อกว่า 170% ไตรมาสนี้
ฟ็อกซ์คอนน์ ผู้ผลิต iPhone รายใหญ่โลก โชว์ผลประกอบการ Q2/68 กำไรจากการดำเนินงานเพิ่ม 27% จากความต้องการเซิร์ฟเวอร์ AI ที่พุ่งแรง พร้อมคาดรายได้ธุรกิจนี้โตต่อกว่า 170% ในไตรมาสปัจจุบัน
วันที่ 14 สิงหาคม 2568 เวลา 13.48 น. สำนักข่าว CNBC รายงานว่า ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) ผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ตามสัญญารายใหญ่ที่สุดของโลก รายงานว่า กำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2568 เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากแรงหนุนของธุรกิจเซิร์ฟเวอร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
ผลประกอบการไตรมาส 2 ของฟ็อกซ์คอนน์เมื่อเทียบกับประมาณการ LSEG SmartEstimates (ที่ให้น้ำหนักกับนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ได้แม่นยำต่อเนื่อง) มีดังนี้
รายได้อยู่ที่ 1.79 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวันใหม่ หรือประมาณ 5.973 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตรงกับที่คาดการณ์ไว้ กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 5.6596 หมื่นล้านดอลลาร์ไต้หวัน สูงกว่าที่คาดไว้ที่ 4.9767 หมื่นล้านดอลลาร์ไต้หวัน และกำไรสุทธิอยู่ที่ 4.436 หมื่นล้านดอลลาร์ไต้หวัน สูงกว่าประมาณการที่ 3.881 หมื่นล้านดอลลาร์ไต้หวัน
ฟ็อกซ์คอนน์ หรือชื่อทางการ ฮอนไฮ พรีซิชัน อินดัสทรี (Hon Hai Precision Industry) เป็นผู้ผลิต iPhone ให้กับแอปเปิลรายใหญ่ที่สุดของโลก และกำลังพยายามต่อยอดความสำเร็จจากธุรกิจสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคไปสู่ตลาด AI บริษัทผลิตตู้เซิร์ฟเวอร์สำหรับงานด้าน AI และได้กลายเป็นพันธมิตรสำคัญของ Nvidia บริษัทชิป AI สัญชาติอเมริกัน
ในรายงานผลประกอบการ บริษัทคาดว่ารายได้จากธุรกิจเซิร์ฟเวอร์ AI จะเติบโตมากกว่า 170% เมื่อเทียบรายปีในไตรมาสปัจจุบัน และเมื่อวันที่ 5 ส.ค. ที่ผ่านมาฟ็อกซ์คอนน์ ระบุว่า คาดจะมีรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 3 แม้ต้องติดตามผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง
เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ฟ็อกซ์คอนน์ประกาศเข้าถือหุ้นในบริษัทผู้ผลิตมอเตอร์อุตสาหกรรม TECO Electric & Machinery เพื่อร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล AI นอกจากนี้ยังแสดงความพร้อมขยายธุรกิจไปสู่การประกอบรถยนต์ไฟฟ้า และการผลิตเซมิคอนดักเตอร์
อย่างไรก็ตามมาตรการเก็บภาษีทั่วโลกของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ อาจกระทบต่อแนวโน้มธุรกิจของฟ็อกซ์คอนน์ในปีนี้ โดยเพื่อลดความเสี่ยงจากภาษี บริษัทได้ย้ายการประกอบขั้นสุดท้ายของ iPhone สำหรับตลาดสหรัฐไปยังอินเดียเกือบทั้งหมดแล้ว
อ้างอิง : www.cnbc.com