‘พิชัย’ หนุนไทยปรับโครงสร้างศก. หวังช่วยดันจีดีพีปี 68 ขยับทะลุ 2%
‘พิชัย’ หนุนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ยกเครื่องภาคส่งออก-ท่องเที่ยว-เกษตร-อุตสาหกรรม หวังช่วยดันจีดีพีปี 68 โตทะลุ 2% พร้อมเข้มออกใบแสดงถิ่นกำเนิดสินค้า แก้ปม transshipment ภาษีสหรัฐฯ
18 ส.ค. 2568 - นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2568 เพิ่มเป็น 2% จากเดิมที่ 1.8% ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจในขณะนี้ต้องยอมรับว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามากระทบ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโลก ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การย้ายถิ่นฐานการผผลิต รวมถึงมาตรการภาษีสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ นั้น ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยแย่ไปกว่าเดิม ไทยยังมีปัญหาเหมือนเดิมตั้งแต่ก่อนมีปัญหาดังกล่าวเข้ามา และเมื่อมีปัญหามาตรการภาษีสหรัฐฯ เข้ามา ทุกประเทศก็ชะลอตัวลงกันหมด ดังนั้นไทยอาจจะถือโอกาสนี้ในการเริ่มปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยปัญหาหลักเกิดกับภาคการส่งออก ซึ่งส่วนหนึ่งมีที่มาจากภาคการท่องเที่ยว การผลิตภาคเกษตร และการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ยังเป็นแบบดั้งเดิม ดังนั้นก็ถึงเวลาที่จะต้องปรับให้เป็นรูปแบบใหม่ ดังนั้นเชื่อว่า หากเศรษฐกิจไทยสามารถปรับโครงสร้างเศรษฐกิจได้ ก็มีโอกาสที่ปี 2568 ตัวเลขจีดีพีจะขยายตัวได้มากกว่า 2%
“ถ้าเราเริ่มปรับปรุงให้ถูกที่ ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจจะค่อย ๆ ขยับขึ้นไป ตอนนี้เรารู้อยู่แล้วว่าต้นเหตุของปัญหาอยู่ที่ไหน มาจากที่ไหน การเข้าไปแก้ปัญหาโดยเฉพาะในภาคการส่งออก ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องไปถึงเรื่องท่องเที่ยว การผลิตภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมที่ยังเป็นแบบเดิม ก็ถึงเวลาที่ต้องปรับให้เป็นแบบใหม่ เหล่านี้คือสิ่งที่จะต้องทำตามมาหลังจากนี้อยู่แล้ว” นายพิชัย กล่าว
สำหรับเรื่องมาตรการภาษีสหรัฐฯ ในส่วนของสินค้าสวมสิทธิ์ผ่านทาง (transshipment) นั้น รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง ระบุว่า หากเป็นสินค้า transshipment โดยสมบูรณ์ไทยมีความกังวลน้อยมาก เมื่อเทียบกับสินค้า transshipment ที่ผ่านเข้ามาแล้วแทบไม่ได้ทำอะไรเลย แต่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพราะตรงนี้ไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเท่าไหร่ ไม่มีมูลค่าเพิ่ม และไทยก็ไม่สนับสนุนเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุด คือ การเข้าไปเข้มงวดในการออกใบแสดงถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) หากไทยมีการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้า และไม่ออกแสดงถิ่นกำเนิดสินค้าให้กับสินค้าที่เป็น transshipment เมื่อสินค้าเหล่านี้ส่งออกไม่ได้ ก็ขายไม่ได้ ตรงนี้เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ง่ายและดีที่สุด
นอกจากนี้ ในส่วนของงบประมาณปี 2569 ที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้วนั้น ยืนยันว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาติดขัดอะไร ในส่วนของกระทรวงการคลัง และรัฐบาลสามารถอธิบายทุกมาตราได้อย่างชัดเจนว่า เม็ดเงินแต่ละส่วนมีการใช้จ่ายเพื่ออะไรบ้าง และยอมรับว่าจากการอภิปรายมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่งตรงนี้กระทรวงการคลังพร้อมที่จะรับมาพิจารณาเพื่อดูว่าอะไรที่สามารถปรับปรุงได้ในปีงบประมาณดังกล่าว หรืออะไรที่จะปรับปรุงได้ในปีงบประมาณต่อไป
อย่างไรก็ดี ในส่วนของสถานการณ์หนี้ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับสูงถึง 1 ล้านล้านบาทนั้น มองว่า เมื่อเป็นเรื่องของการทำธุรกิจก็ย่อมมีตัวเลขกำไร ขาดทุน ถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากลงไปพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า มีเพีง 2 รัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาค่อนข้างมาก ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เท่านั้นที่มีปัญหาเรื่องหนี้หนักจริง ๆ โดยในส่วนของ ขสมก. นั้น มองว่า การจะแก้ปัญหาได้จะต้องผ่านเรื่องรถเมล์ไฟฟ้าให้ได้ก่อนเรื่องนี้มันพ่วงกัน ส่วนเรื่อง รฟท. นั้นอาจจะต้องมีการแยกบัญชีกับหนี้เดิมที่มีอยู่เพื่อตัดค่าเสื่อมออกมาทั้งหมด ดังนั้นคงเหลือเป็นยอดกำไรขาดทุนไม่มาก ส่วนการลงทุนรถไฟฟ้าสายใหม่ ๆ ที่มีการลงทุนจำนวนมาก ตรงนี้จะมีค่าเสื่อมเยอะ อาจจะขาดทุนมากในระยะแรก ก็ต้องมาดูกระบวนการบริหารจัดการ โดยเชื่อว่าหากทำมาถูกทาง จัดกลุ่มหนี้ให้ดี ตรงนี้ก็น่าจะแก้ปัญหาได้จบ
“เรื่องหนี้จากการดำเนินงานถือเป็นปัญหาธรรมชาติ ถ้าปรับให้ดี ทำให้แมสก็มีโอกาสจะเลี้ยงตัวเองได้ แต่ว่าทุกอย่างต้องค่อย ๆ ทำไป ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้ทีละ 10-20 เรื่อง อันนี้ไม่ใช่ และหากให้พูดตรง ๆ ตรงไหนที่ควรให้เอกชนทำก็ต้องพิจารณาไป แต่ถ้าเรื่องไหนหน่วยงานทำเองได้และจำเป็นต้องทำก็ต้องดำเนินการกันต่อไป ส่วนเรื่องการตั้งอินฟาสตรัคเจอร์ ฟันด์ เพื่อหนุนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทนั้น ขอให้ใจเย็น ๆ ก่อน” นายพิชัย กล่าว