"พิชัย" มั่นใจงบ 2569 ผ่านด่านวุฒิสภา เร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ดันจีดีพีโตกว่า 2%
รัฐมนตรีคลังมั่นใจงบปี 2569 ผ่านด่านวุฒิสภา เดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ดันจีดีพีโตกว่า 2%
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากสภาฯ เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท รัฐบาลจึงเสนอต่อวุฒิสภา พิจารณาในขั้นต่อไป แม้หลายฝ่ายกังวลปัญหาการเมือง ในการพิจารณาของวุฒิสภา นายพิชัย มั่นใจว่ากระทรวงการคลังจะชี้แจงกรรมาธิการ ของวุฒิสภา โดยรัฐบาลพร้อมนำมาปรับปรุงจากข้อเสนอแนะ จึงมั่นใจว่างบปี 2569 จะผ่านวุฒิสภาไปได้
ขณะที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ปรับการประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2568 โดยคาดว่าจีดีพีทั้งปีจะเพิ่มขึ้นจากเดิม 1.8% เป็นขยายตัว 2% ทางกระทรวงการคลัง พิจารณาว่ามีหลายเรื่องที่เคยเป็นปัญหาเกิดขึ้นก่อนจะมีการประเมินจีดีพีครั้งนี้ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจโลก ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ มาตรการภาษีสหรัฐฯ ดังนั้นหลังจากนี้ไปหากรัฐบาลแก้ปัญหาได้อย่างถูกจุด จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นได้ ทั้งภาคการส่งออก การท่องเที่ยว ภาคการผลิตการเกษตร การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดิมและอุตสาหกรรมใหม่
นอกจากนี้นายพิชัยยังมองว่า กรณีมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยแย่ไปกว่าเดิม แต่เมื่อมีปัญหามาตรการภาษีสหรัฐฯ เข้ามา ทำให้เศรษฐกิจของทุกประเทศชะลอตัวลงเหมือนกันหมด ดังนั้น ไทยอาจจะใช้โอกาสนี้เพื่อเริ่มปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าหากไทยสามารถปรับโครงสร้างเศรษฐกิจได้ ก็มีโอกาสที่ GDP จะขยายตัวได้มากกว่า 2%
กระทรวงการคลัง ย้ำว่าขณะนี้ไทยมีการเข้มงวดดูแลปัญหา "Transshipment" เพราะเป็นสินค้าที่ผ่านเข้ามาและถูกส่งออกไปยังสหรัฐฯ ประเทศไทยไม่ได้สนับสนุนเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงต้องเข้มงวดการออกหนังสือรับรองถิ่นกําเนิดสินค้า (Certificate of Origin) สินค้าที่ออกจากประเทศไทย โดยเฉพาะในสินค้าต้นทาง ตามที่สหรัฐฯมีข้อสงสัย จึงต้องการให้ทุกฝ่าย ช่วยกันดูแลไม่ให้สินค้าถูกสวมสิทธิ์อย่างเข้มงวด
ส่วนสถานการณ์หนี้ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับสูงถึง 1 ล้านล้านบาทนั้น นายพิชัย ระบุว่า หากพิจารณาลงในรายละเอียดจะพบว่า มีเพียง 2 รัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาค่อนข้างมาก คือ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)
ส่วนของ ขสมก.นั้น การจะแก้ปัญหาได้ ต้องผ่านเรื่องรถเมล์ไฟฟ้าให้ได้ก่อน กรณีของรฟท. นั้นอาจจะต้องมีการแยกบัญชีกับหนี้เดิมที่มีอยู่ เพื่อตัดค่าเสื่อมออกมาทั้งหมด ส่วนการลงทุนรถไฟฟ้าสายใหม่ ๆ ที่มีการลงทุนจำนวนมาก จะทำให้มีค่าเสื่อมเยอะ ซึ่งอาจจะขาดทุนมากในระยะแรก ก็ต้องมาดูกระบวนการบริหารจัดการ โดยเชื่อว่าหากทำมาถูกทาง จัดกลุ่มหนี้ให้ดี ก็น่าจะสามารถแก้ปัญหาได้จบ
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สภาฯ ได้ลงมติผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปีก 2569 โดยเห็นชอบ 257 ต่อ 230 เสียง หลังจากอภิปรายต่อเนื่องถึง 3 วัน (13–15 สิงหาคม 2568 ) โดยนายพิชัย ในฐานะผู้แทนคณะรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณสมาชิกสภาฯ ที่ให้ความเห็นชอบ พร้อมย้ำว่าร่างงบฯ 2569 เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ แผนความมั่นคง และภารกิจของหน่วยงานรับงบ โดยจะใช้อย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และตอบสนองความต้องการของพื้นที่และประชาชน
นายพิชัยยังกล่าวขอบคุณคณะ กมธ.วิสามัญฯ ที่ร่วมกันทำงานจนสำเร็จ พร้อมรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะไปปรับปรุงการบริหารงาน เพื่อให้การใช้งบเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน
พร้อมกล่าวว่ารัฐบาลขอให้ความมั่นใจว่า งบประมาณที่ผ่านการพิจารณาครั้งนี้จะถูกใช้ตามวัตถุประสงค์ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และบรรลุเป้าหมายนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนประเทศท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลและสมาชิกทุกคน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- รัฐบาลเดินหน้าลดภาระหนี้นอกระบบ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนให้ประชาชน
- เปิดรายชื่อ "สินค้าส่งออกไทย" พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และโอกาสตลาดทดแทน หนีภาษีทรัมป์ 19%
- รายได้ไม่ถึงเกณฑ์ก็ต้องยื่นภาษี เริ่มปี 2570 คลังเดินหน้า “Negative Income Tax” ชี้ใช้ข้อมูลแจกสวัสดิการรัฐ
- โมดี สู้ศึก "ภาษีทรัมป์" ด้วยชาตินิยม ปลุกกระแส "Make in India" หลังถูกขึ้นภาษีพุ่ง 50%
- คลังชี้ปี 2570 ทุกคนต้อง "ยื่นภาษี" ถึงจะได้รับสวัสดิการ