BLS มอง SET ปรับฐาน ชู “Global Play” เด่น
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 19 สิงหาคม 2568 เวลา 19.48 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง มองตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังนี้ เป็นช่วงปรับฐาน โดยเฉพาะในไตรมาส 3/2568 ที่มีปัจจัยกดดันจากหลายปัจจัยทั้งภายในและต่างประเทศ แต่คาดจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว ก่อนจะฟื้นตัวในไตรมาส 4 หนุน SET Index ทยอยขยับแตะเป้าหมาย 1,280 จุด ในสิ้นปีนี้ โดยหุ้นกลุ่ม “Global Play” ที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกจะเป็นผู้นำตลาดในรอบนี้
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังนี้คาดจะเป็นช่วงของการปรับฐาน โดยเฉพาะในไตรมาส 3/2568 ที่มีปัจจัยกดดันจากผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่มีความเสี่ยงต่อภาคการส่งออกไทย รวมถึงทิศทางกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในไตรมาส 3/2568 ที่มีโอกาสอ่อนตัวลง
อย่างไรก็ตามแม้ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวแรง หลังคลายความกังวลต่อมาตรการภาษีดังกล่าวที่เริ่มคลี่คลาย และด้วย Valuations ต่ำเท่าช่วงวิกฤติ เป็นปัจจัยหนุนให้เม็ดเงินต่างชาติซื้อสุทธิครั้งแรกในรอบ 10 เดือน แต่ปัจจุบันตลาดหุ้นได้ลดความร้อนแรง เข้าสู่โหมด wait and see รอประเมินผลกระทบภาษีฯ และ Valuations เริ่มตึงตัว ขณะที่คาดการณ์กำไรปี 2568 ยังถูกปรับลงต่อเนื่อง อาจจำกัด Upside ตลาดในระยะสั้น
นอกจากนี้ยังมีความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่อาจเข้ามาซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในประเด็นของ ศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ อย่างไรก็ดีทางบล.บัวหลวง ประเมินว่า รัฐบาลจะไม่มีการยุบสภา แต่อาจเห็นนายกรัฐมนตรี ลาออก และพรรคเพื่อไทยแต่งตั้ง นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อชิงความได้เปรียบก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งในครั้งถัดไป
หากเป็นไปตามที่คาดการณ์ คาดว่าตลาดหุ้นไทย อาจไม่ได้ตอบรับเชิงบวกมากนัก เนื่องจากอยู่ในช่วงของการปรับฐาน แนะเป็นจังหวะเข้าสะสม ในช่วงที่ตลาดย่อตัวลง
แต่หากเกิดกรณี ยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ (ไม่มีทหารเข้ามาแทรกแซง) เมื่ออิงจากเหตุการณ์ในอดีตตลาดหุ้นไทยมักจะมี pre-election rally โดยมีค่าเฉลี่ยของผลตอบแทน คือ 3.4% ก่อนหน้าวันเลือกตั้ง 3 เดือน หากไม่มีความรุนแรงก่อนการเลือกตั้ง กลุ่มที่มักจะ outperform ได้แก่ กลุ่มเชื่อมโยงเศรษฐกิจในประเทศ เช่น ธนาคาร ค้าปลีก การเงิน อาหาร เป็นต้น
พร้อมกันนี้มองว่า หากเกิดการเลือกตั้งใหม่แล้วไม่ได้เปลี่ยนแปลง คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก แต่หากออกมาในลักษณะ "ชนะแบบแลนด์สไลด์" คาดตลาดจะตอบรับเชิงบวกทันที
“ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ ประเมินว่า ในช่วงไตรมาส 3/2568 จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยแตะระดับต่ำสุด ก่อนจะเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4 นี้ หากความเสี่ยงทางการเมืองไม่มีความรุนแรงและสามารถหาจุดลงตัวได้ ขณะเดียวกัน มาตรการภาษีของสหรัฐฯ มีแนวโน้มไม่ส่งผลกระทบเกินคาด เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยใกล้เคียงกับประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน ทำให้ประเมิน SET Index ในครึ่งปีหลังนี้ จะมีแนวรับที่ 1,050-1,150 จุด และแนวต้าน 1,280 จุด” นายชัยพร กล่าว
สำหรับ สิ้นปี 2568 ประเมิน SET Indexไว้ที่ 1,280 จุด โดยอ้างอิงสมมติฐานการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ 6.6% และค่า P/E เฉลี่ย 15.7 เท่า โดยตลาดหุ้นไทยในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (เดือนม.ค.- ก.ค. 2568) ให้ผลตอบแทนติดลบ 10.06% ซึ่งยังเผชิญความไม่แน่นอนจากหลากหลายปัจจัย เช่น มาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ, ความไม่แน่นอนทางการเมือง, ภาวะหนี้ครัวเรือนสูงและรอการแก้ไข, เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างเต็มที่จากปัจจัยการเมืองขาดเสถียรภาพ ส่งผลให้นักวิเคราะห์ทยอยปรับลดประมาณการเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) โดยฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ของบริษัท ได้ปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 ลงจาก 92 บาทต่อหุ้น เหลือ 82 บาทต่อหุ้น จากงบการเงินครึ่งปีแรก (อัตราการปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้นน้อยลงในเดือนมิ.ย.-ก.ค. ที่ผ่านมา)
“หุ้นไทยปรับตัวลงแรงจนใกล้เคียงระดับที่เคยเกิดขึ้นช่วงวิกฤตการณ์สำคัญในอดีต เช่น วิกฤตเลห์แมน บราเธอร์ส, วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง และต่ำกว่าช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงประเมินว่า Downside ของตลาดหุ้นไทยมีจำกัด
โดยระดับ 1,050 -1,080 จุด มีความเป็นไปได้น้อยที่จะเกิดขึ้นอีก อย่างไรก็ดี ในส่วนของปัจจัยภายนอกประเทศนั้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัว หากตัวเลขเงินเฟ้อได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้า ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ประมาณ 1-2 ครั้ง รวม 0.50% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอาจปรับลดเพิ่มเติมในปี 2569 ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้ง ในช่วงครึ่งหลังของปี
และอีก 1 ครั้ง ในปี 2569 สอดคล้องกับแนวโน้มเงินเฟ้อไทยที่ยังอยู่ระดับต่ำที่ประมาณ 1%” นายชัยพร กล่าว
แนะนำนักลงทุนใช้จังหวะที่ตลาดปรับฐานทยอยสะสมหุ้น โดยมองว่า หุ้นกลุ่ม “Global Play” ที่มีการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกและมูลค่าหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เช่น กลุ่มปิโตรเคมี, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ผลิตอาหารสัตว์ มีแนวโน้มจะเป็นกลุ่มนำตลาดรอบนี้
ขณะที่หุ้นกลุ่ม “Domestic Play” ยังถูกกดดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้า ซึ่งกลุ่มที่ถูกกระทบมาก เช่น อสังหาริมทรัพย์, การก่อสร้าง, ไฟแนนซ์เช่าซื้อ, สินเชื่อบุคคล และสื่อมีเดีย ขณะที่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบปานกลางถึงน้อย ได้แก่ ธนาคาร, ร้านสะดวกซื้อ, โรงพยาบาล และท่องเที่ยว
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดจะได้รับผลกระทบเชิงบวกจากมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เช่น กลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์ เช่น BTG, TFG, GFPT และ CPF ซึ่งได้รับประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าที่ลดลง เช่น ข้าวโพดและถั่วเหลือง โดยประเมินว่า กลุ่มดังกล่าวจะมีผลบวกต่อกำไรเฉลี่ย 13.7% โดย BTG จะได้รับผลบวกสูงสุด 16.49% ในทางกลับกัน
กลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ DELTA ที่มีสัดส่วนรายได้จากตลาดสหรัฐฯ ประมาณ 20-30% แต่ DELTA อาจได้รับแรงสนับสนุนจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Data Center, Cloud และ AI ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่กลุ่มส่งออกอาหาร เช่น TU และบริษัทลูก ITC ที่มีรายได้จากตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง อาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนภาษี แต่ยังมีโอกาสบรรเทาผลกระทบผ่านการเจรจากับผู้นำเข้าสหรัฐฯ
สำหรับกลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุน ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ ให้น้ำหนักการลงทุน “ตราสารหนี้” ในระดับสูงกว่าปกติที่ประมาณ 56% (จากระดับปกติไม่เกิน 20%) เพื่อรับประโยชน์จากแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ย และสามารถควบคุม
ความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้ดี ขณะที่ให้น้ำหนักในหุ้น 48% และทองคำ 6% ในส่วนของการลงทุนในหุ้น แนะนำกระจายลงทุนในต่างประเทศ ได้แก่ หุ้นสหรัฐฯ 11%, ญี่ปุ่น 4%, จีน (เน้นกลุ่มเทคโนโลยี) 7%, เวียดนาม 7%, อินเดีย 4% และไทย 5%
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจลงทุนในต่างประเทศยังสามารถเลือกลงทุนผ่านตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ DR ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ปัจจุบันหลักทรัพย์บัวหลวง มี DR01 ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) รวมทั้งสิ้น 27 หลักทรัพย์ ครอบคลุมการลงทุนในดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา, จีน, ฮ่องกง, เวียดนาม, อินเดีย, ญี่ปุ่น และหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา, ฮ่องกง และยุโรป โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด
(มาร์เก็ตแคป) 13,677.5 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดราว 40% ของทั้งอุตสาหกรรม (ข้อมูล ณ วันที่ 7 สิงหาคม 2568)