บล.บัวหลวง มอง Q3/68 หุ้นไทยอยู่ในช่วงปรับฐาน ชี้เป็นจังหวะทยอยสะสมหุ้น Global Play ประเมินเป้าดัชนีสิ้นปี 68 ที่ 1,280 จุด

บล.บัวหลวง มองไตรมาส 3/68 ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงปรับฐาน แนะกลยุทธ์ทยอยสะสมหุ้น Global Play เช่น PTTGC, SCC, DELTA, ITC ควบคู่ Dividend Play กลุ่มแบงก์และโรงไฟฟ้า ประเมิน SET Index สิ้นปีนี้ที่ 1,280 จุด และปี 2569 ที่ 1,400–1,450 จุด พร้อมให้น้ำหนักพอร์ตลงทุนในหุ้น 48% ตราสารหนี้ 56% และทองคำ 6%
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม - กรกฎาคม) ให้ผลตอบแทนติดลบ 10.06% โดยเผชิญความไม่แน่นอนหลายด้าน ทั้งมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ, สถานการณ์การเมืองในประเทศที่ไม่แน่นอน, หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว นอกจากนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างเต็มที่จากความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลให้นักวิเคราะห์ต้องทยอยปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ลงอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้ปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 ลงจาก 92 บาท เหลือ 82 บาทต่อหุ้น
โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะแตะจุดต่ำสุดในไตรมาส 3/68 ก่อนจะเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในไตรมาส 4/68 หากความเสี่ยงทางการเมืองไม่รุนแรงและสามารถหาข้อสรุปได้ อย่างไรก็ตาม ทิศทางการปรับประมาณการกำไรของตลาดโดยรวมยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการปรับขึ้นของตลาดหุ้นในระยะสั้น นอกจากนี้ ปรากฏการณ์ Front Demand หรือการเร่งส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกก่อนมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ จะทำให้การส่งออกในช่วงไตรมาส 3/68 และ 4/68 มีความท้าทายมากขึ้น
สำหรับเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2568 ประเมินไว้ที่ 1,280 จุด โดยมองว่าในไตรมาส 3 ตลาดยังอยู่ในช่วงการปรับฐาน และต้องรอให้กระบวนการปรับลดประมาณการกำไรสะท้อนครบถ้วนก่อน โดยในระยะสั้นตลาดจเน้นไปที่ประเด็นการเมือง ขณะที่สิ้นปี 2569 คาดว่าดัชนีจะขยับขึ้นสู่ระดับ 1,400–1,450 จุด และ EPS จะอยู่ที่ราว 90 บาทต่อหุ้น
“แนวรับสำคัญของตลาดในรอบนี้อยู่บริเวณ 1,150 จุด ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดในการปรับฐาน และหากผลกระทบออกมาแย่กว่า ประเมินแนวรับที่ระดับ 1,050 จุด ส่วนแนวต้านระยะสั้น (1 เดือนข้างหน้า) คาดอยู่ที่ 1,280–1,300 จุด ขณะที่ความเสี่ยงที่ตลาดจะทำ New Low มองว่าโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างต่ำ ยกเว้นเกิดภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยรุนแรง หรือการเมืองไทยมีปัญหาหนักจนกระทบความเชื่อมั่น” นายชัยพร กล่าว
ทั้งนี้ บล.บัวหลวง แนะนักลงทุนใช้จังหวะที่ตลาดปรับฐานทยอยสะสมหุ้นกลุ่ม Global Play ที่อิงเศรษฐกิจโลกและมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยได้ แก่ กลุ่มปิโตรเคมี เช่น PTTGC และ SCC ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มที่ Over Supply น้อยที่สุดและมีโอกาสฟื้นตัวสูง, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ DELTA แม้ราคจะปรับขึ้นมาอยู่ในระดับสูง แต่เป็หุ้นที่อยู่ในธีม Data Center และ AI ในไทย และ กลุ่มอาหารสัตว์ ITC ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกระดับโลก มีความสามารถในการแข่งขันสูง และต้นทุนปลาทูน่า ในไตรมาส 3/68 มีแนวโน้มลดลง
นอกจากนี้ ยังมองว่ากลุ่ม Dividend Play หรือหุ้นที่ให้ปันผลสูง เหมาะสำหรับพอร์ตระยะยาวที่ต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอ แนะนำคือกลุ่มธนาคาร เช่น KTB, กลุ่ม New S-Curve ที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะ Data Center ซึ่งจะหนุนกลุ่มสื่อสารและกลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น ADVANC และ GULF, กลุ่ม Earning Play สำหรับการเล่นรอบระยะสั้น ควรเลือกหุ้นที่มีรายได้แข็งแกร่ง กำไรไตรมาส 2/68 ไม่ต่ำกว่าคาด และคาดว่ากำไรไตรมาส 3/68 จะโตต่อเนื่อง เช่น COM7 และ ADVICE
ส่วนกลุ่มหุ้นที่ควรระมัดระวัง ได้แก่ 1. หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ คาดครึ่งปีหลังยอดจองโครงหารใหม่ยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากหนี้ครัวเรือนสูงและธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งระบายสต็อก ส่งผลให้การแข่งขันสูงขึ้นและกำไรถูกกดดัน, 2. กลุ่มการเงิน แม้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงจะเป็นบวกต่อผลประกอบการ แต่ไม่ได้หนุนมากนัก ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงจากหนี้เสียที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น และ 3. กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม แม้ภาษีสหรัฐฯ จะทำให้การผลิตในไทยได้เปรียบจีน แต่ปัจจจุบันยังไม่มีความชัดเจนวี่นจะได้อัตราภาษีเท่าไหร่ จึงมองเป็นแค่ Trading Play
ขณะที่ปัจจัยภายนอกประเทศ คาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัว หากตัวเลขเงินเฟ้อได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้า ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ประมาณ 1-2 ครั้ง รวม 0.50% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอาจปรับลดเพิ่มเติมในปี 2569 ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้ง ในช่วงครึ่งหลังของปี และอีก 1 ครั้ง ในปี 2569 สอดคล้องกับแนวโน้มเงินเฟ้อไทยที่ยังอยู่ระดับต่ำที่ประมาณ 1%
ในส่วนมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ แม้จะกดดันภาคการส่งออกในครึ่งปีหลัง แต่มีผลบวกต่อบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่ม ผู้ผลิตอาหารสัตว์ เช่น BTG, TFG, GFPT, CPF ได้รับประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าที่ลดลง คาดหนุนกำไรเฉลี่ยราว 13.7% ในปีหน้า โดย BTG ได้ประโยชน์สูงสุด 16.49%
ขณะเดียวกันกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ DELTA ที่มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ 20–30% อาจได้รับแรงหนุนจากธุรกิจ Data Center, Cloud และ AI ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนหุ้นส่งออกอาหาร เช่น TU และ ITC ที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง อาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนภาษี แต่ยังมีโอกาสบรรเทาผลกระทบผ่านการเจรจากับผู้นำเข้าสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุน บล.บัวหลวง ให้น้ำหนักการลงทุน “ตราสารหนี้” ในระดับสูงกว่าปกติที่ประมาณ 56% จากระดับปกติไม่เกิน 20% เพื่อรับประโยชน์จากแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ย และสามารถควบคุมความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้ดี ขณะที่ให้น้ำหนักในหุ้น 48% และทองคำ 6% ในส่วนของการลงทุนในหุ้น แนะนำกระจายลงทุนในต่างประเทศ ได้แก่ หุ้นสหรัฐฯ 11%, ญี่ปุ่น 4%, จีน เน้นกลุ่มเทคโนโลยี 7%, เวียดนาม 7%, อินเดีย 4% และไทย 5%