ผวา ‘ยุบสภา-ลาออก’ ฉุดเศรษฐกิจ 'เอกชน' ห่วงงบปี 69 เจรจาทรัมป์สะดุด
เสถียรภาพการเมืองของรัฐบาลมีความไม่แน่นอนมากขึ้นจากกรณีที่มีการยื่นให้องค์กรอิสระทั้งศาลรัฐธรรมนูญ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาความผิดของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากกรณีคลิปเสียงการสนทนากับสมเด็จฮุนเซน อดีตผู้นำของกัมพูชา ซึ่งสถานการณ์อาจนำไปสู่การลาออกของนายกรัฐมนตรี หรือการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ได้
ทั้งนี้หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศดังนี้
1. กรณีนายกรัฐมนตรีลาออก สภาผู้แทนราษฎรจะเปิดให้มีการโหวตนายกรัฐมนตรีใหม่จากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มี ส.ส.เกิน 25 คน ซึ่งกรณีนี้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะน้อยกว่าการยุบสภาเพราะมีโอกาสที่นายกรัฐมนตรียังมาจากแกนนำรัฐบาล คือ นายชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งจะไม่กระทบการจัดทำงบประมาณปี 2569 วงเงิน 3,780,600 ล้านบาท และนโยบายเรือธงของรัฐบาลจะเดินหน้าต่อไปตามเดิม
ส่วนกรณีนายกรัฐมนตรีลาออกและเกิดการปรับเปลี่ยนพรรคที่เสนอชื่อขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีอาจกระทบการจัดทำงบประมาณปี 2569 โดยหากเป็นการโหวตนายกรัฐมนตรีจากพรรคที่อยู่คนละขั้วกับรัฐบาลก็อาจนำมาสู่การทบทวน พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 ทั้งฉบับ และจะกระทบต่อนโยบายเรือธงสำคัญของรัฐบาลด้วย
2. กรณีนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่า ดังนี้
ความล่าช้าของการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ถึงแม้ว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ผ่านความเห็นชอบในวาระที่ 1 จากสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค.2568 แต่หากเกิดกรณีที่นายกรัฐมนตรียุบสภาฯ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณจะตกทั้งฉบับ และงบประมาณปี 2569 จะไม่สามารถประกาศใช้ได้ทันในวันที่ 1 ต.ค.2568 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่
หากยุบสภาฯ เมื่อเลือกตั้งใหม่รัฐบาลใหม่จะทบทวนและปรับเปลี่ยนรายละเอียดของงบประมาณใหม่ เพื่อให้ตอบโจทย์นโยบายรัฐบาล ซึ่งคล้ายช่วงหลังการเลือกตั้งปี 2562 ที่กว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ และปรับปรุงงบประมาณใหม่ล่าช้า 6 เดือน ทำให้รัฐบาลรักษาการต้องใช้งบประมาณแบบงบประมาณรายจ่ายไปพลางก่อน
ผ่านออกมาเป็นกฎหมายได้ในรัฐบาลนี้ โดยขณะนี้นอกจาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายฯ 2569 ยังมีกฎหมายสำคัญที่สนับสนุนนโยบายของรัฐบาล เช่น นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งมีกฎหมายที่อยู่ในการพิจารณาของสภาฯได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ เช่น ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. …
ขณะที่การขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ในส่วนนี้หากยุบสภาฯและรัฐบาลเป็นรัฐบาลรักษาการยังคงอนุมัติงบประมาณที่เหลืออีก 4 หมื่นล้านบาทเศษได้ เนื่องจากไม่ใช่งบประมาณใหม่ แต่เป็นงบกลางฯปี 2568 โดยคาดว่าหากยุบสภาฯรัฐบาลจะยังเดินหน้าอนุมัติโครงการ โดยเฉพาะในส่วนที่ปรับเปลี่ยนโครงการที่กระทรวงมหาดไทยสมัยที่พรรคภูมิใจไทยยังบริหารงานอยู่ได้เสนอเข้ามาก่อนนี้
ส่วนหากนายกฯลาออกแล้วมีการเปลี่ยนตัวนายกฯใหม่งบประมาณในส่วนนี้ก็ยังสามารถอนุมัติได้เช่นกันแต่มีเงื่อนไขในการผูกพันงบประมาณให้ทันภายใน 30 ก.ย.2568
การเมืองเปลี่ยนเสี่ยงเศรษฐกิจไทยพัง
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ไทยกำลังเผชิญหน้าพายุวิกฤติหลายลูกพร้อมกันทั้งปัญหาภายในที่เรื้อรัง และปัจจัยภายนอกที่รุนแรงอย่างน้อย 4 ด้าน หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตอนนี้ อาจนำพาเศรษฐกิจที่กำลังประคองตัวอยู่สู่หายนะ ทำให้ผู้ใช้แรงงานและSME ลำบากหนักกว่าเดิม
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ปัญหาการเมืองในประเทศเป็นเสมือนหล่มที่ฉุดรั้งประเทศมานาน จากโครงสร้างระบบการเมืองอ่อนแอ แต่ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า คือ ไทยกำลังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาภายนอกที่หนักหน่วง ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อภาคเศรษฐกิจ ได้แก่
1. การเจรจาภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตายต้องเร่งเดินหน้า โดยการที่สหรัฐประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยสูงถึง 36% ใกล้ครบกำหนด 90 วัน หากรัฐบาลเกิดสุญญากาศ ไม่มีผู้นำที่มีอำนาจเต็มการเจรจาอาจทำให้สหรัฐอาจไม่เชื่อถือ และจะกระทบรุนแรงการส่งออกไทย
2. ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยวิกฤติชายแดนเริ่มจากการปิดด่านและกระทบกระทั่งกัน กำลังสร้างความเสียหายมหาศาลต่อการค้าชายแดนกระทบต่อรายได้ 500 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งสมาชิก ส.อ.ท.หลายรายได้รับผลกระทบทางตรง ทั้งที่ส่งสินค้าไม่ได้และโรงงานในกัมพูชาต้องหาวัตถุดิบจากแหล่งอื่นด้วยต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งไม่รู้ว่าจะยืดเยื้อนานแค่ไหน
3. ความล่าช้าในการผ่านงบประมาณปี 2569 หากยุบสภาฯ หรือนายกรัฐมนตรีลาออก ขณะที่งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ยังไม่ผ่านจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง ซึ่งไทยเคยงบประมาณล่าช้า 8-9 เดือน ทำให้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจหายไปส่งผลให้ผู้รับเหมาล้มละลายและเลิกจ้างจำนวนมาก
“ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก หากงบประมาณ 2569 ต้องหยุดชะงัก รวมถึงงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.75 แสนล้านบาท ต้องเดินหน้าทันที หากติดขัดจะเกิดปัญหา ซึ่งยังไม่ควรเปลี่ยนแปลรัฐบาลรัฐบาลช่วงนี้เพราะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีมาแล้ว”
4.การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) ที่อยู่ช่วงโมเมนตัมที่ดี และมีเส้นตายสรุปภายในสิ้น 2568 แต่หากเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอาจทำให้การเจรจาติดขัดและถูกเลื่อนออกไป
นายเกรียงไกร กล่าวว่า การเปลี่ยนรัฐบาลจะทำให้การทำงานมีปัญหา โดยหากยุบสภาฯ หรือนายกรัฐมนตรีลาออก จะเห็นข้าราชการเกียร์ว่าง ส่วนภาคเอกชนจะ wait and see ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูภาพความชัดเจนว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี และใครจะอยู่ในคณะรัฐมนตรี (ครม.) และจะมีอำนาจขับเคลื่อนนโยบายแค่ไหน
ยุบสภาฯ กระทบจีดีพี 0.66%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเจอปัญหาสารพัดทั้งปัจจัยภายในและภายนอกทำให้ปรับลดประมาณการณ์เศรษฐกิจปี 2568 ลงจาก 3.0% เหลือ1.7% สำหรับประเด็นเสถียรภาพการเมืองประเมินไว้ 3 กรณี คือ
1. นายกฯ อยู่ ตลอดทั้งปี 2568 (กรณีฐาน) รวมกระทบจีดีพี 11,034 ล้านบาท หรือ 0.06%
2. มีนายกฯ คนใหม่จากพรรคแกนนำเดิม กระทบจีดีพี 37,692 ล้านบาท หรือ -0.20%
3. นายกฯ ยุบสภา กระทบจีดีพี 112,257 ล้านบาท หรือ -0.66%
ทั้งนี้ ต้องจับตาการชุมนุมใหญ่วันที่ 28 มิ.ย.นี้ว่า จะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมมากน้อยแค่ไทยจะสั่นคลอนคะแนนนิยมรัฐบาลได้ขนาดไหน อีกทั้งดูศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม หากตัดสินให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ รองนายกฯ อาจเข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทน ภายใต้นายกฯ ยังเป็นคนเดิม งบประมาณจะสามารถขับเคลื่อนได้ต่อ
“ซีไอเอ็มบี” ชี้การเมืองกระทบ ศก.ทุกทาง
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ความไม่แน่นอนทางการเมือง หรือการที่เสถียรภาพการเมืองมีปัญหาส่งผลลบต่อเศรษฐกิจทั้งความเชื่อมั่นนักลงทุนและประชาชน ความต่อเนื่องของนโยบายรัฐบาล รวมถึงการเจรจาการค้ากับต่างประเทศ โดยเฉพาะการเจรจากับสหรัฐที่อาจทำให้ไทยเสียโอกาสต่อรองภาษีการค้า
ดังนั้น ไม่ว่าทางออกทางการเมืองจะเป็นไปในทิศทางใด ไม่ว่านายกฯ จะลาออกหรือมีการยุบสภา ผลลัพธ์สุดท้าย คือ การส่งผลลบต่อเศรษฐกิจทั้งสิ้น เพียงแต่ผลกระทบจะมีต่างกัน
ทั้งนี้ กรณีนายกฯ ลาออกหรือการเปลี่ยนนายกฯ อาจส่งผลความไม่แน่นอนระยะสั้น แต่จะมีความต่อเนื่องในการบริหารเพราะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาสานต่องาน ดังนั้นอาจเป็นทางเลือกที่น่าจะดีต่อเศรษฐกิจระยะสั้นมากกว่า เพราะความกังวลหลักของภาคเอกชนและนักเศรษฐศาสตร์คืองบประมาณรายจ่ายประจำปี หากเปลี่ยนนายกฯ และตั้งรัฐบาลใหม่ได้รวดเร็วก็เป็นไปได้สูงที่งบประมาณจะสานต่อได้
นายกฯ ลาออกกระทบเศรษฐกิจน้อยสุด
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า มองว่าการที่นายกรัฐมนตรีลาออกและมีการเปลี่ยนตัว ถือเป็นทางออกที่ดีกว่าการยุบสภาหากการเมืองไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้นแนวทางแรกอาจมีผลกระทบที่น้อยที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย
เพราะสิ่งที่ไม่อยากเห็นคือ สุญญากาศทางเศรษฐกิจ จากสุญญากาศทางการเมือง หากมีการยุบสภา ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างมากต่อภาพรวมของการกระตุ้นเศรษฐกิจ
“การยุบสภาเป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะอาจนำไปสู่สูญญากาศได้ หากงบประมาณไม่ได้รับการอนุมัติ ซึ่งจะฉุดเศรษฐกิจลงอย่างมาก คล้ายกับสถานการณ์เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนที่ยังไม่สามารถหาตัวนายกรัฐมนตรีได้”
“เคเคพี” ชี้หากรัฐบาลขาดเสถียรภาพเชื่อมั่นทรุด
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า มองว่า ไม่ว่าเกิดกรณีใด หากรัฐบาลขาดเสถียรภาพ สิ่งที่ตามมาคือกระทบต่อ ความมั่นใจของนักลงทุนและภาคเอกชนจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบาย และความต่อเนื่องของนโยบาย หรือโครงการสำคัญที่เคยคาดหวังว่าจะดำเนินการได้ ซึ่งความล่าช้าต่างๆอาจสร้างไม่มั่นใจ และอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมได้
โดยเฉพาะกระทบต่อเศรษฐกิจ ที่ห่วงที่สุดคือ หากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และนำไปสู่ ความล่าช้าของงบประมาณ อาจกระทบต่อเศรษฐกิจค่อนข้างมาก เหมือนอดีตที่มีการเลือกตั้งล่าช้า ทำให้การผ่านงบต่างๆล่าช้าออกไป ซึ่งมองว่าหากล่าช้าออกไป 1ไตรมาส จีดีพีไตรมาส4อาจมีความสุ่มเสี่ยงติดลมได้
เปลี่ยนผู้นำ ถือเป็นการรีเซ็ทใหม่
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ที่กล่าวถึงการยุบสภาหรือเปลี่ยนแปลงผู้นำ หากเกิดขึ้นจริงถือเป็นการรีเซ็ทกันใหม่ ซึ่งหากมีผู้นำใหม่ควรมีคุณสมบัติในการขับเคลื่อนนโยบายการบริหารประเทศให้เกิดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ที่รัฐบาลได้ไปทำการเชิญชวนไว้
นอกจากนี้ ผู้นำควรจะมีความสาารถในการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจเพราะเป็นเรื่องใหญ่ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน และรองรับสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก รวมถึงความสามารถในการเจรจาการค้าด้วย
ขณะที่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะส่งผลกระทบให้เกิดสุญญากาศ ประเทศชาติหยุดชะงัก มองว่าที่ผ่านมาไทยเผชิญเหตุการณ์หนักกว่านี้ บางเรื่องสะดุดบ้างได้ ไม่ต้องวิ่งเร็วตลอดเวลา หยุดเพื่อให้ประเทศชาติวิ่งได้เร็วกว่าเดิม อีกทั้งการขับเคลื่อนประเทศไม่ได้มีแค่รัฐบาลเท่านั้น แต่ยังมีภาคส่วนอื่น เช่น เอกชนที่เดินหน้า
20 ปี บทเรียนการเมืองธุรกิจเจอทุกรูปแบบ
นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ ไทยเพรซิเดนท์ ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเมืองตอนนี้ 2 ซีนาริโอผู้นำลาออก หรือมีการยุบสภาสถานการณ์ย่อมแตกต่างกัน แต่หากพรรคขนาดกลางถอนตัวในการร่วมรัฐบาลจะทำให้เสียงปริ่มน้ำเกินกว่าที่จะอยู่ยาว หากเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำ แกนนำรัฐบาลยังมีตัวเลือกอยู่ แต่ต้องดูว่าพร้อมทำหน้าที่หรือไม่ ส่วนโครงสร้างยังเหมือนเดิม และสิ่งที่ถูกมองเป็นปัญหาไม่ใช่สถานภาพ พรรคการเมือง แต่เป็นตัวผู้นำ เพราะมาตรฐานบางประเทศเกิดเรื่องเช่นนี้ต้องลาออก
ที่น่าเป็นห่วงหากมีการยุบสภา จะส่งผลกระทบต่อการพิจารณาอนุมัติงบประมาณปี 2569 ที่จะผ่านสภาฯไม่ได้ ต้องใช้งบกลางไปก่อน ทำให้เบิกจ่ายงบลงทุนใช้ได้ไม่เต็มที่
อย่างไรก็ตาม การเมืองจะมีขั้นตอน เช่น ปรับ ครม. ยุบสภา แต่ 2 เหตุการณ์ ที่ภาคธุรกิจไม่ต้องการให้เกิดขึ้น คือการชุมนุมประท้วง เกิดความยืดเยื้อ ความรุนแรง และนำไปสู่การรัฐประหาร ซึ่งตลอดเวลา 20 ปี ไทยเผชิญมาทุกรูปแบบ มีบทเรียนทุกซีนาริโอ
“20 ปี ไทยผ่านมาทุกซีนาริโอ ทำอะไร แล้วจะได้อะไร หากทำแบบเดิมประเทศชาติจะได้แบบเดิม ไม่มีอะไรใหม่ บทเรียนสอนว่าอย่าฝืน”