กบข.ปรับพอร์ตลงทุนรับผันผวน เพิ่มลงทุนทอง ‘เล็งหุ้นไทย’
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการกบข. ให้สัมภาษณ์ในรายการ “กรุงเทพธุรกิจ DeepTalk” ว่า ช่วงครึ่งปีแรก โลกเผชิญเหตุการณ์ร้าย และรุนแรงมาก แม้มีความคาดหวังตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่า สถานการณ์ในสหรัฐจะดีขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี และสงครามจะสิ้นสุดลง
แต่ความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น สงครามยังคงยืดเยื้อ และสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ก็ทวีความรุนแรงขึ้น ดังนั้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังมีความท้าทายสูง และมีหลายเรื่องให้ต้องพิจารณา
“แม้ปัจจัยเสี่ยงยังมีไม่น้อยในครึ่งปีหลัง แต่มีความหวังว่าหลายเรื่องจะชัดเจนขึ้นใน 3 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะประเด็นการค้าและการเจรจาหยุดยิง ซึ่งเชื่อว่าตลาดจะกลับมาในที่สุด”
นายทรงพล กล่าวต่อว่า ภาวะเศรษฐกิจ และการลงทุนที่ท้าทายในปีนี้ความท้าทายหลักในปีนี้มาจากหลายปัจจัย ได้แก่สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียด ความไม่แน่นอนทางการค้า เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และความผันผวนของตลาดทุน และค่าเงิน
“สินทรัพย์หลายประเภทไม่ให้ผลตอบแทนตามคาด และค่าเงินผันผวนกระทบผลตอบแทนรวมของการลงทุนในต่างประเทศเมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาทการบริหารพอร์ตในสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ต้องอาศัยการตั้งสติ และพิจารณารอบคอบทุกวัน”
ในช่วงตลาดขาลงนี้ โจทย์สำคัญของเราคือ ทำอย่างไรให้ผลตอบแทนไม่ลดลงตาม ซึ่งถือเป็นความท้าทาย โดยผลตอบแทนการลงทุนในปีนี้อาจไม่ดีกว่าปีที่ผ่านมา ด้วยสถานการณ์ปีนี้ที่ยากกว่าเดิมมาก
ลดลงทุนหุ้นต่างประเทศ “เพิ่มทองคำ”
อย่างไรก็ตาม กบข.จัดสรรการลงทุน และกลยุทธ์การดำเนินงานโดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้สมาชิกมีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายยามเกษียณ และมุ่งหวังให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 10 ปีบวก 2%
ทั้งนี้ ปัจจุบัน กบข.ลงทุนในสินทรัพย์ 18 ประเภท ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แบ่งเป็น สินทรัพย์ต่างประเทศ 60% และสินทรัพย์ในประเทศ 40% โดยจัดสรรตามประเภทสินทรัพย์ แบ่งเป็น สินทรัพย์มั่นคง อาทิ ตราสารหนี้ ระดับ Investment Grade 60% และสินทรัพย์เสี่ยง 40%
ตั้งแต่ต้นปี กบข.ปรับพอร์ตลงทุนเพื่อรับมือสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนทั้งลดสัดส่วนหุ้นต่างประเทศ และเพิ่มทองคำเนื่องจากสถานการณ์การค้าโลก และนโยบายประธานาธิบดีสหรัฐยังไม่ชัดเจน กบข.ลดสัดส่วนลงทุนตราสารทุน และหันไปลงทุนในทองคำบางส่วน เพื่อใช้ปิดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนปัจจุบัน กบข. มีสัดส่วนการลงทุนในทองคำ 5% ของสินทรัพย์เสี่ยง
ขณะเดียวกัน กบข. ได้เพิ่มสัดส่วนหุ้นไทยจาก 3% เป็นเกือบ 5-6% แม้ตลาดหุ้นไทยโดยรวมจะผันผวน และดัชนีปรับตัวลดลง โดยเน้นเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว และกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งเช่น กลุ่มการค้า การบริโภค เกษตรอุตสาหกรรม และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งยังคงมีการดำเนินงานที่ดี
นอกจากนี้ ยังลงทุนระยะยาวในสินทรัพย์ทางเลือกที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม โครงสร้างพื้นฐาน และบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งการลงทุนนอกตลาดช่วยให้เข้าใจธุรกิจได้ลึกซึ้งขึ้น และเห็นศักยภาพการเติบโต แม้ใช้เวลาลงทุนกว่า 5-10 ปี และมีสภาพคล่องต่ำกว่า
"กบข.ลงทุนนอกตลาดผ่าน Private Equity มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 18% ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพราะให้ผลตอบแทนน่าสนใจ อาทิ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศให้ผลตอบแทน 8-14% และเทคโนโลยีบางประเภทให้ผลตอบแทน 12-18%"
แนะลงทุนหุ้นไทย “ต้องดูพื้นฐาน”
นายทรงพล กล่าวว่า กบข.ให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นไทยโดยเลือกอุตสาหกรรม และบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งเป็นหลัก ไม่ได้มองที่ดัชนีตลาดเพราะเชื่อว่าดัชนีเป็นเพียงสงครามจิตวิทยา สัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยมีการเพิ่มขึ้นจากประมาณ 3% เป็นเกือบ 5-6% และมองว่าหุ้นไทยมีมูลค่าถูก และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดี
“กบข.ไม่ได้ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทย และจะพิจารณาลงทุนเพิ่มหากถึงจังหวะที่เหมาะสม โดยเน้นบริษัทที่แข็งแกร่ง และมีความสามารถทำกำไร และแข่งขัน”
ขณะที่แม้จะลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นสหรัฐลงระยะสั้นช่วงต้นปี เพราะความไม่แน่นอนในนโยบายการค้า และการเมือง แต่สหรัฐเป็นประเทศหลักที่มีความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ ความรู้ และการแพทย์
ส่วนตลาดเกิดใหม่อย่างจีนมีศักยภาพด้านเทคโนโลยี และนโยบายที่ชัดเจนและเข้มงวด แต่มีปัญหาภายในประเทศเช่นกัน ขณะที่เวียดนามยังคงเป็นฐานการผลิตหลัก สำหรับสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง Bitcoin กบข.ยังไม่ได้ลงทุนเนื่องจากมีความยากลำบากในการประเมินมูลค่า และยังขอติดตามสถานการณ์ไปก่อน
เร่งศึกษาแนวทางการลงทุนใหม่
นายทรงพล กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กบข. จึงเร่งทบทวนยุทธศาสตร์การจัดสรรสินทรัพย์เร็วกว่ากำหนดเดิม 3-5 ปี โดยมี 4 เรื่องหลักที่อยู่ระหว่างการศึกษา ได้แก่
จัดนิยามสินทรัพย์ใหม่ (Redefining Asset Classes) แต่เดิม กบข.แบ่งสินทรัพย์เป็น “สินทรัพย์มั่นคง” และ “สินทรัพย์เสี่ยง” ซึ่งตามนิยามแล้วตราสารหนี้ Investment Grade ถือเป็นสินทรัพย์มั่นคง
ขณะที่ทองคำเคยมองว่ามีราคาขึ้นลงถูกจัดเป็นสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งทองคำถูกนำมาใช้เป็นสินทรัพย์ปิดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนโดยนักลงทุนสถาบัน ขณะที่ตราสารหนี้ที่เคยจัดว่ามั่นคงอาจมีการผิดนัดชำระหนี้ได้
ดังนั้น การทบทวนจะทำให้การจัดกลุ่มสินทรัพย์สะท้อนความเสี่ยง และบทบาทของสินทรัพย์ปัจจุบันดีขึ้นเพิ่มทางเลือกการลงทุน (Expanding Investment Choices) ตลาดทุนในไทยที่มีทางเลือกจำกัดเมื่อเทียบต่างประเทศ
กบข.ต้องการเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะในตลาด Private Equity ที่ลงทุนในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงขึ้น และเข้าใจพื้นฐานธุรกิจดีกว่าศึกษาเชิงเปรียบเทียบ และปรับแผนจัดสรรสินทรัพย์ตามความต้องการสมาชิก
ทั้งนี้ กบข.กำลังสำรวจความต้องการสมาชิกหลังเกษียณ เช่น การไม่มีหนี้ มีเงินใช้เพียงพอ และมีสุขภาพดี โดยจะนำข้อมูลมาประกอบการจัดทำแผนการจัดสรรสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ (SAA) เพื่อตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันของสมาชิกแต่ละคน
กบข.กำลังศึกษาแนวคิดที่จะให้สมาชิกดึงเงินสะสมส่วนเพิ่มออกมาใช้ก่อนเกษียณ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้แก้กฎหมายให้สมาชิกออกภาคสมัครใจตั้งแต่ 1-27% ของเงินเดือน นอกเหนือจากภาคบังคับ 3% และรัฐบาลสมทบ 3% อย่างไรก็ตามเงินสะสมส่วนนี้ของสมาชิกส่วนใหญ่มีไม่มาก 800,000 กว่าคน ไม่ได้สะสมเพิ่มเลยจึงอาจช่วยแก้ปัญหาขาดสภาพคล่องได้ไม่มากนัก
นอกจากนี้ ยังศึกษาทางเลือกอื่นสำหรับเงินสะสมส่วนเพิ่มนี้ โดยใช้เงินออมเพิ่มเพื่อซื้อประกันชีวิต และสุขภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่สมาชิกจำนวนมากไม่ได้ซื้อ หรือสิทธิในการเข้าอยู่อาศัยในศูนย์ที่พักสำหรับผู้สูงอายุ (Retirement Complex) โดยเฉพาะข้าราชการปัจจุบันที่อาศัยบ้านพักราชการ และไม่มีที่อยู่เมื่อเกษียณ แนวคิดนี้เป็นการให้ผลประโยชน์ในรูปแบบไม่ใช่ตัวเงินเพื่อแบ่งเบาภาระสังคมผู้สูงวัย
"แม้ปีนี้เป็นปีท้าทาย แต่ กบข.ยังมุ่งมั่นบริหารจัดการเงินลงทุนของสมาชิกให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมองหาโอกาสลงทุนใหม่ รวมถึงศึกษาแนวทางเพิ่มเติมเพื่อให้สมาชิกมีทางเลือกที่หลากหลาย และเพียงพอต่อการใช้ชีวิตหลังเกษียณ"
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์