เงินเฟ้อพื้นฐานโตเกียวมิ.ย. แตะ 3.1% หลังรัฐพยุงค่าน้ำ-ไฟ แต่ยังสูงกว่าเป้า คาดเปิดทางขึ้นดอกเบี้ยต่อ
เงินเฟ้อพื้นฐานโตเกียวมิ.ย. แตะ 3.1% หลังรัฐพยุงค่าน้ำ-ไฟ แต่ยังสูงกว่าเป้า คาดเปิดทางขึ้นดอกเบี้ยต่อ
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -27 มิ.ย. 68 13:03 น.
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น ชะลอตัวลงในเดือนมิ.ย. เนื่องจากมีการปรับลดค่าสาธารณูปโภคลงชั่วคราว แต่ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางอย่างมาก ซึ่งทำให้ตลาดยังคงคาดว่า จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคต
ดัชนี Core CPI ของกรุงโตเกียว ซึ่งไม่รวมต้นทุนอาหารสดที่มีความผันผวน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.1% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 3.3% โดยชะลอตัวลงหลังจากที่เพิ่มขึ้น 3.6% ในเดือนพ.ค. โดยเป็นผลมาจากการกลับมาอุดหนุนเชื้อเพลิงและการลดค่าน้ำชั่วคราวของรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการรับมือกับคลื่นความร้อนในช่วงฤดูร้อน
ขณะที่ดัชนี CPI ที่ตัดทั้งต้นทุนอาหารสดและเชื้อเพลิงออกไป ซึ่งเป็นมาตรวัดที่ BOJ ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.1% จากปีก่อนหน้า หลังเพิ่มขึ้น 3.3% ในเดือนพ.ค.
ข้อมูลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าราคาภาคบริการ บวกกับราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของญี่ปุ่น ชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันด้านราคาที่กำลังขยายวงกว้างขึ้นในเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่พึ่งพาการส่งออก ซึ่งกำลังเผชิญอุปสรรคจากภาษีนำเข้าที่สูงของสหรัฐฯ โดยข้อมูลเหล่านี้ จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะพิจารณาอย่างละเอียดในการประชุมทบทวนอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปในวันที่ 30-31 ก.ค. ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงินจะออกรายงานคาดการณ์การเติบโตและเงินเฟ้อประจำไตรมาสใหม่
ขณะเดียวกัน ข้อมูลล่าสุดยังเน้นย้ำถึงภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสำหรับครัวเรือนในกรุงโตเกียว โดยค่าข้าวเพิ่มขึ้น 89% เมื่อเทียบกับปีก่อน ช็อกโกแลตแท่งเพิ่มขึ้น 48% เมล็ดกาแฟหนึ่งถุงเพิ่มขึ้น 50% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในภาคบริการอยู่ที่ 2.1% ในเดือนมิ.ย. หลังจากแตะ 2.2% ในเดือนก่อนหน้า
ทั้งนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ยุติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ ที่ดำเนินมายาวนานกว่าทศวรรษไปเมื่อปีที่แล้ว และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเป็น 0.5% ในเดือนม.ค. ด้วยมุมมองที่ว่า ญี่ปุ่นกำลังจะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% อย่างยั่งยืน
แม้ว่าธนาคารกลางจะส่งสัญญาณพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นของสหรัฐฯ ทำให้ BOJ ต้องปรับลดการคาดการณ์การเติบโตในเดือนพ.ค. และทำให้การตัดสินใจเรื่องจังหวะเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปมีความซับซ้อนมากขึ้น
ที่มา Reuters
รายงาน โดย สิริพงศ์ สิริชุมศรี เรียบเรียง โดย สิริพงศ์ สิริชุมศรี
อีเมล์. siripong@efinancethai.comอนุมัติ โดย Supak Hopuengju
ดูข่าวต้นฉบับ