ช็อกตาค้าง! “จู๋เหม็น” ไม่ใช่เรื่องตลก! หมอเตือนล้างผิดวิธี เสี่ยง “ตัดทิ้ง” ทั้งแท่ง
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.คุณหมอ "กู้ ฟางหยู" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะจากไต้หวัน ได้ทำคลิปอธิบายว่า กลิ่นเหม็นจากอวัยวะเพศชาย อาจเกิดจากคราบสกปรกที่สะสมและหมักหมมมาเป็นเวลานาน บริเวณใต้หนังหุ้มปลาย และร่องรอบหัวองคชาต ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นานวัน อาจนำไปสู่ความเสี่ยงร้ายแรงถึง "มะเร็งอวัยวะเพศ" จนอาจต้องเผชิญกับสถานการณ์ "ต้องตัดทิ้ง" ในที่สุด
นายแพทย์กู้ ฟางอวี๋ อธิบายว่า เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน ผู้หญิงหลายคนมักบ่นเรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์จากอวัยวะเพศของคนรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณปลายอวัยวะเพศชาย (GG หรือ glans penis) ซึ่งเป็นส่วนที่หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายมักมีการสะสมของ "ขี้เปียก" (smegma) หรือสิ่งสกปรกที่ตกค้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณ "ร่องคอคอด" (coronal sulcus) ใต้หัวอวัยวะเพศ หากไม่มีการทำความสะอาดอย่างทั่วถึง ขี้เปียกเหล่านี้จะหมักหมมและส่งกลิ่นเหม็นคล้าย "บลูชีส" นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียชั้นดี และในกรณีที่รุนแรงที่สุด อาจพัฒนาไปเป็นมะเร็งอวัยวะเพศชายได้
วิธีทำความสะอาดที่ถูกต้องเพื่อเลี่ยงภัยร้าย!
นายแพทย์กู้ได้แนะนำวิธีการทำความสะอาดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายที่ถูกต้อง โดยเน้นย้ำว่า: รูดหนังหุ้มปลายลงจนสุด: ต้องรูดหนังหุ้มปลายให้เปิดออกจนเห็นหัวอวัยวะเพศและร่องคอคอดได้อย่างชัดเจน "ต้องรูดให้ถึงบริเวณร่องคอคอด" หากไม่สามารถรูดลงได้ง่าย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินว่ามีปัญหาหนังหุ้มปลายตีบหรือยาวเกินไปหรือไม่
ใช้น้ำสะอาดและสบู่ที่เป็นกลาง: แนะนำให้ใช้น้ำสะอาดร่วมกับสบู่ที่มีค่า pH เป็นกลางในการถูทำความสะอาด โดยเน้นย้ำว่า "ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ (Shower Gel/Body Wash)" ทั่วไป เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักมีสารลดแรงตึงผิว (surfactants) และสารทำความสะอาดที่รุนแรง ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือการอักเสบต่อผิวหนังที่บอบบางในบริเวณดังกล่าว
เช็ดให้แห้งสนิท: หลังจากทำความสะอาดแล้ว ควรเช็ดหัวอวัยวะเพศและร่องคอคอดให้แห้งสนิท โดยอาจใช้สำลีพันก้าน (cotton swab) หมุนทำความสะอาดในร่องคอคอด เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีน้ำขัง สิ่งสำคัญคือการรักษาความสะอาดและแห้งอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรกและการเจริญเติบโตของเชื้อโรค
การดูแลสุขอนามัยในจุดซ่อนเร้นอย่างถูกวิธี ไม่เพียงแต่ช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่ยังเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันความเสี่ยงจากปัญหาสุขภาพร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ที่มา tw.news.yahoo,DR.Birdscience