จีนเปิดเกมพันธบัตรเขียวสกุลหยวน ส่งสัญญาณกำหนดอนาคตการเงินโลก
จีนออกพันธบัตรสีเขียวสกุลเงินหยวนฉบับแรกเมื่อวันที่ 2 เมษายนปีนี้ ความสำคัญในเชิงตัวเลขอาจไม่หวือหวา แต่การออกพันธบัตรครั้งนี้เป็นสัญญาณของความมุ่งมั่นของจีนที่จะมีส่วนร่วมมากขึ้นกับตลาดทุนของโลก และผลักดันการทำให้เงินหยวนเป็นสากล นอกจากนี้ยังเป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของจีนต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และแสดงบทบาทความเป็นผู้นำของจีนในด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก
เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 จีนได้ออกพันธบัตรเขียวของรัฐสกุลเงินหยวน (RMB) ฉบับแรก ซึ่งระดมทุนได้ 6 พันล้านหยวน (824 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ถือเป็นหมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ส่งสัญญาณสำคัญ โดยเป็นทั้งพันธบัตรเขียวของรัฐฉบับแรกของจีน และเป็นพันธบัตรของรัฐสกุลเงินหยวนฉบับแรกที่ขึ้นตลาดในต่างประเทศ
เส้นทางของการเงินสีเขียวของจีน ได้รับความสนใจในระดับนานาชาติมากนับตั้งแต่จีนเปิดตัวตลาดพันธบัตรเขียวในปี 2016 จนถึงปี 2024 จีนได้ออกพันธบัตรเขียวรวมทั้งสิ้น 5.555 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในปี 2024 ปีเดียว มีการออกพันธบัตรเขียวรวม 6.88 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้จีนเป็นตลาดพันธบัตรเขียวใหญ่อันดับ 3 ของโลก
สิ่งที่แตกต่างจากตลาดเกิดใหม่
ในตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่ พันธบัตรเขียวของรัฐที่ออกโดยกระทรวงการคลังหรือสำนักงานคลัง ช่วยสร้างความมั่นใจในตลาด ปรับปรุงกลไกราคา และดึงดูดนักลงทุนระยะยาวโดยการเสนอสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและน่าเชื่อถือสูง
แทนที่จะพึ่งพาพันธบัตรเขียวของรัฐ จีนได้สร้างระบบนิเวศของพันธบัตรเขียวที่ซับซ้อนและกระจายศูนย์ ซึ่งขับเคลื่อนโดยรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และรัฐบาลท้องถิ่น
เดือนกุมภาพันธ์ 2025 หลังจากการหารือระดับสูงระหว่างเจ้าหน้าที่จากสหราชอาณาจักรและจีนเมื่อเดือนมกราคม กระทรวงการคลังของจีนได้เผยแพร่กรอบพันธบัตรเขียวของรัฐ โดยยึดตามมาตรฐานของ Climate Bonds Initiative ซึ่งกำหนดให้การบรรเทาและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การลดมลพิษ และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน เป็นลำดับความสำคัญ
การออกพันธบัตรเขียวเกิดขึ้นในเดือนเมษายน โดยแบ่งเป็น 2 ชุด และได้รับความต้องการซื้อมากกว่าจำนวนที่เสนอถึง 6.9 เท่า ซึ่งกดอัตราผลตอบแทนลงมาอยู่ที่ 1.88% และ 1.93% สำหรับชุดอายุ 3 ปี และ 5 ปี ตามลำดับ ต่ำกว่าพันธบัตรของรัฐสกุลเงินหยวนที่ไม่ใช่พันธบัตรเขียว ซึ่งออกก่อนหน้านั้นเพียง 2 เดือนอย่างมีนัยสำคัญ
พันธบัตรเขียวฉบับนี้มีความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ
ไตรมาสแรกของปี 2025 เพียงไตรมาสเดียว จีนออกพันธบัตรของรัฐมูลค่า 3.28 ล้านล้านหยวน (4.516 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) และคาดว่าจะออกอีก 8 ล้านล้านหยวนภายในสิ้นปีนี้ พันธบัตรเขียวฉบับนี้จึงคิดเป็นไม่ถึง 0.05% ของการออกพันธบัตรทั้งหมดของจีนในปี 2025
พันธบัตรฉบับนี้สะท้อนความตั้งใจของจีนในการมีส่วนร่วมกับตลาดทุนโลก และทำในแบบของตนเอง พันธบัตรนี้ต่อเนื่องจากการออกพันธบัตรของรัฐอย่างประสบความสำเร็จในปี 2024 ซึ่งรวมถึงดีลมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในซาอุดีอาระเบีย และการออกพันธบัตรมูลค่า 2 พันล้านยูโรในกรุงปารีส
แม้ผู้ซื้อ 83% จะมาจากเอเชียและแปซิฟิก แต่การมีส่วนร่วมกับนักลงทุนทั่วโลกช่วยให้จีนได้รับการสนับสนุนระดับนานาชาติในเส้นทางการเติบโต นักลงทุนโลกจะลังเลมากขึ้นในการปล่อยให้เศรษฐกิจจีนล่ม หากพวกเขามีส่วนได้ส่วนเสียในความสำเร็จของจีน
ความพยายามนี้ ลอนดอนกำลังกลายเป็นศูนย์กลางเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ โดยได้ประโยชน์จากความร่วมมือระหว่างสหราชอาณาจักร–จีนด้านภูมิอากาศและการเงินสีเขียวมาอย่างยาวนาน ผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น การเจรจาเศรษฐกิจและการเงินสหราชอาณาจักร–จีน, การเชื่อมโยงตลาดหลักทรัพย์ UK–China Stock Connect และการออกพันธบัตรเขียวมากกว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ปี 2015
ลดการพึ่งพาดอลลาร์ในระยะยาว
การออกพันธบัตรเขียวของรัฐจีนยังเป็นก้าวเชิงกลยุทธ์ในการทำให้เงินหยวนเป็นสากลและลดการพึ่งพาดอลลาร์ในระยะยาว จีนได้ส่งเสริมให้มีการออก “พันธบัตรแพนด้า” Panda bond สกุลเงินหยวนในประเทศโดยผู้ออกพันธบัตรต่างชาติ แต่การออกพันธบัตรสกุลหยวนของจีนในต่างประเทศยังคงมีน้อยและกระจัดกระจาย เช่น พันธบัตร 2 พันล้านหยวนของ ICBC ที่ลอนดอนในปี 2012 และพันธบัตร “Lion City” มูลค่า 3 พันล้านหยวนของธนาคารแห่งประเทศจีนในสิงคโปร์ปี 2014 ซึ่งสร้างตลาดที่ไม่มีสภาพคล่องและความเสี่ยงสูงต่อผู้ลงทุน
ด้วยการออกพันธบัตรของรัฐสกุลเงินหยวนที่ใหญ่ขึ้น จีนเสนอสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่าและสามารถซื้อขายได้มากขึ้น ซึ่งสามารถขยายแหล่งเงินหยวนระหว่างประเทศ ช่วยให้นักลงทุนต่างชาติประเมินและบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานสำหรับการผลักดันให้เงินหยวนเป็นสากลอย่างจริงจัง
พันธบัตรเขียวของรัฐ ตอกย้ำเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในฐานะผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก โดยจีนให้คำมั่นว่าจะถึงจุดสูงสุดของการปล่อยภายในปี 2030 และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060 ความสำเร็จบางประการในการเปลี่ยนผ่านสู่สีเขียวเริ่มปรากฏขึ้น
การวิเคราะห์ระบุว่า เศรษฐกิจสีเขียวของจีนมีสัดส่วนมากกว่า 10% ของ GDP ในปี 2024 จากที่แทบไม่มีเลยเมื่อ 10 ปีก่อน และการปล่อยอาจถึงจุดสูงสุดแล้วในปี 2024 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายถึง 6 ปี
อย่างไรก็ตาม จีนยังต้องการการเงินสีเขียวประมาณ 20 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในกลางศตวรรษนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม
การออกพันธบัตรเขียวฉบับนี้อาจเป็นหลักฐานแสดงต่อโลกการเงินว่าจีนจริงจังกับความทะเยอทะยานด้านสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับคำกล่าวของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อเดือนเมษายน 2025 ว่า
ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร จีนจะไม่ชะลอการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ