ใครคือเจ้าของที่ดินเขากระโดง: คนที่ลงมือสร้าง หรือรัฐที่เพิ่งนึกขึ้นได้?
เขากระโดงเคยเป็นแค่ที่ดินรกร้างในสายตารัฐ แต่วันนี้มันคือเมือง มีสนามแข่ง มีเศรษฐกิจ มีชีวิต ทั้งหมดเกิดจากคนที่ “ลงมือสร้าง” ขณะที่รัฐเพิ่ง “นึกขึ้นได้” ว่าเคยเป็นเจ้าของ การเพิกถอนจึงไม่ใช่แค่ทวงสิทธิ แต่คือการรื้อเมือง ด้วยเอกสารที่ล่าช้ากว่าเวลา
ในโลกของรัฐธรรมนูญและนิติรัฐ “กฎหมาย” คือคำสุดท้าย แต่ในโลกของการพัฒนาเมือง กฎหมายบางครั้งก็ เดินช้ากว่าความเปลี่ยนแปลง
กรณี เขากระโดง ในจังหวัดบุรีรัมย์ คือฉากทัศน์ที่สะท้อนความขัดแย้งนี้ได้ชัดเจน เมื่อความพยายามจะขยายผลคำพิพากษาคดีเฉพาะราย ให้ครอบคลุมการเพิกถอนที่ดินทั้งบริเวณ ถูกผลักดันโดยแรงทางการเมือง จนกำลังจะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และอัตลักษณ์ใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างจริงจัง
บุรีรัมย์ไม่ใช่จังหวัดที่รอการพัฒนา แต่มันคือตัวอย่างของพื้นที่ที่ ลุกขึ้นมาพลิกโฉมตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาแผนแม่บทจากส่วนกลาง สนามฟุตบอลขนาดมาตรฐานโลก สนามแข่งรถระดับนานาชาติ กิจกรรมกีฬา อีเวนต์ และการท่องเที่ยว ไม่ได้เกิดจากรัฐ แต่เกิดจาก คนที่มองเห็นอนาคตก่อนใคร แล้วลงมือทำจริง
และคนที่เป็นหัวขบวนของปรากฏการณ์นี้ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เนวิน ชิดชอบ อดีตนักการเมืองที่เปลี่ยนบทบาทตัวเองเป็น“ผู้จัดเมือง” ด้วยแนวคิดที่สร้างเมืองให้ยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่นักประชาธิปไตยในอุดมคติ แต่คือ นักปฏิบัติที่กล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าแตะ
สนามช้างอารีนา และ สนามแข่งช้างอินเตอร์เนชันแนลเซอร์กิต ไม่ใช่เพียงโครงสร้างโชว์ตัวเลข แต่มันคือ กลไกทางเศรษฐกิจที่หล่อเลี้ยงทั้งเมือง ร้านอาหาร โรงแรม ระบบขนส่ง และแรงงานท้องถิ่น ล้วนผูกพันกับสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่นี้โดยตรง
แล้วอะไรคือความหมายของ“ความชอบธรรม” เป็นเพียงการถือครองตามหนังสือสิทธิ หรือคือ ผลลัพธ์ของการใช้ประโยชน์เพื่อสาธารณะ?
ในเมื่อสิ่งที่อยู่บนพื้นที่นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของใคร แต่คือ การเปลี่ยนพื้นที่ว่างเปล่าให้เป็นฐานเศรษฐกิจของเมืองทั้งเมือง เราจะยังใช้กฎหมายในกรอบตีความแคบ ๆ มาตัดสินได้อยู่หรือ
แน่นอนว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้แต่ผู้ที่ทำคุณูปการแค่ไหนก็ตามแต่ในกรณีที่ข้อกฎหมาย ยังคลุมเครือ และตีความกันไม่ตรง การรีบเร่งเพิกถอนโดยไม่ประเมินผลกระทบ คือการเลือกใช้ “ข้อเท็จจริงในกระดาษ” มาทับ “ความจริงในพื้นที่”
บุรีรัมย์ในวันนี้ ไม่ใช่ภาพวาดในกระดาษของส่วนกลาง แต่มันคือเมืองที่มีจังหวะของตัวเอง มีผู้คน มีระบบ มีการเชื่อมโยงระบบขนส่ง แม้ไม่ได้ใหญ่โตแบบเมืองหลวง แต่ก็เกิดขึ้นจริง มีรถโดยสารท้องถิ่น มีสนามบิน มีสถานีรถไฟที่เชื่อมต่อออกไปยังภาคอื่น และยังเคยเป็นต้นแบบของ การนำเทคโนโลยีเอกชนมาเชื่อมกับการเดินทางในช่วง MotoGP
ทั้งหมดนี้ คือ คำว่า“พัฒนาแล้ว” ไม่ใช่เพียงในเชิงนามธรรม แต่คือ รูปธรรมที่ประชาชนสัมผัสได้ทุกวัน
ประเด็นสำคัญที่สังคมควรเข้าใจคือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ถูกอ้างอิงนั้น ไม่ได้ชี้ชัดว่าเขากระโดงทั้งพื้นที่เป็นของรัฐ แต่เป็นคำตัดสินเฉพาะกรณีที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย ฟ้องประชาชน 35 ราย ในข้อหาครอบครองที่ดินโดยมิชอบ
ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอน เฉพาะเอกสารสิทธิของจำเลยในคดีนั้น แต่ยังไม่มีการวินิจฉัยรวมทั้งผืน หลายประเด็นยัง คลุมเครือทางข้อกฎหมาย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นภาพของ ภูมิธรรม เวชยชัย ในบทบาท รักษาการนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินหน้าแถลงข่าวอย่างแข็งขัน จี้กรมที่ดินให้ เร่งเพิกถอนสิทธิประชาชน พร้อมประกาศจะดำเนินการให้ถึงที่สุด
เมื่อคำพิพากษามีผลเฉพาะคดีจำเลย 35 ราย แต่การตีความกลับถูกขยายผลไปครอบคลุมทั้งพื้นที่ จึงเกิดคำถามว่า นี่คือการปฏิบัติตามกระบวนการยุติธรรมหรือไม่? หรือเป็นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจัดระเบียบใหม่ บนพื้นที่ที่รัฐไม่เคยมีบทบาทจริง
ในเวลาเดียวกัน สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ประชาชนยังอยู่ในภาวะเสี่ยง บางพื้นที่ยังต้องเฝ้าระวัง บางพื้นที่เพิ่งฟื้นจากเสียงระเบิด กลับไม่ปรากฏน้ำหนักทางนโยบายเท่าเขากระโดง
ขณะที่เรื่องเขากระโดงมีทั้งแถลงข่าวรายวัน คำสั่งเร่งรัด และเป้าหมายชัดเจนให้เพิกถอนโดยเร็วชายแดนกลับ “ค่อย ๆ ดำเนินการไปตามขั้นตอน”
และในจังหวะเดียวกันนั้น รัฐบาลก็หันมา“ปลดล็อกโป๊กเกอร์” เตรียมปัดฝุ่นเกมพนันให้เป็นเรื่องเศรษฐกิจแห่งอนาคต
เขากระโดงกลายเป็นวาระชาติ โป๊กเกอร์กลายเป็นวาระเร่งด่วน ส่วนชายแดน…ก็ดูเหมือนเรื่องรองที่รอได้
ลำดับความสำคัญแบบนี้ รัฐบาลกำลังบอกอะไรกับสังคมกันแน่?
คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า ใครถือครองที่ดิน แต่คือ อะไรคือสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญก่อน? แผ่นดินที่คนไทยอยู่ หรือเกมพนันที่รัฐเพิ่งนึกอยากทำให้ถูกกฎหมาย?
ถ้าใครบางคนเพิ่ง “นึกขึ้นได้” ว่าเคยเป็นเจ้าของ แล้วใช้เอกสารจากอดีตมารื้อถอนสิ่งที่สร้างขึ้นจริงในปัจจุบัน นั่นไม่ใช่การทวงคืนสิทธิ แต่คือการ สถาปนาอำนาจบนพื้นที่ที่รัฐไม่เคยลงมือ ยกเว้นตอนที่มันเริ่มมีมูลค่าทางการเมือง
ในมิติของการพัฒนา เมืองบุรีรัมย์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คือปรากฏการณ์ที่ยากจะหาได้จากเมืองรองอื่น ในประเทศ เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเงียบเหงา กลับกลายเป็น จุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเชิงกีฬาและวัฒนธรรม
การเปลี่ยนเมืองไม่ได้เริ่มจากรัฐ แต่จากคนที่กล้าลงมือก่อน แม้บางโครงการจะได้รับการสนับสนุนภายหลัง แต่ต้นทางของการเปลี่ยนแปลงเกิดจาก เนวิน ชิดชอบ และทีมที่มองเห็นอนาคตก่อนระบบราชการจะขยับตัวทัน
แน่นอนว่า เนวิน ชิดชอบ อาจมี ทุนทางการเมือง อาจมี ความสัมพันธ์ในเชิงอำนาจ แต่สิ่งที่แสดงให้เห็นชัดคือ เขาใช้มันเพื่อสร้างบางสิ่งที่จับต้องได้ ไม่ใช่เพื่อรื้อถอนให้ทุกอย่างกลับไปสู่ศูนย์
การจะมองว่าเมืองทั้งเมืองนี้ “ผิด” เพียงเพราะข้อกฎหมายบางประการยังไม่ถึงที่สุด คือการเลือกตัดสินจากเอกสารโดยไม่ดู “ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลง” ที่เกิดขึ้นแล้ว
พื้นที่ที่กำลังจะถูกจัดระเบียบใหม่ในนามของรัฐนั้น มีขนาดมากกว่า 5,000 ไร่ ซึ่งหมายถึงไม่ใช่แค่บ้านเรือนของคนไม่กี่ราย แต่คือระบบเศรษฐกิจขนาดย่อมทั้งระบบ ที่รัฐไม่เคยให้ความสำคัญ หรือบรรจุไว้ในแผนพัฒนาใด
คำถามสำคัญคือ ถ้ารัฐเพิกถอน แล้วจะเอาที่ดินไปทำอะไร? การรถไฟอ้างว่า พื้นที่บริเวณเขากระโดงเป็นทรัพย์สินของรัฐ และมีแนวทางว่าจะ เปิดให้เช่าทำประโยชน์ในอนาคต
แต่คำถามที่ตามมาคือ ใครจะเป็นผู้เช่า? จะให้ประชาชนที่เพิ่งถูกเพิกถอนสิทธิ กลับมา “เช่าที่” จากรัฐทั้งที่ตนเองเคยเป็นผู้พัฒนาพื้นที่มาก่อนหรือ
ในเมื่อ กฎหมายคือหลักยึดของสังคม เราย่อมต้องเคารพคำตัดสินในกรอบนั้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องถามกลับได้ว่า กระบวนการและนโยบายหลังเพิกถอน สอดคล้องกับหลักความเป็นธรรม และคำนึงถึงบริบทพื้นที่เพียงพอแล้วหรือยัง?
หากการทวงคืนสิทธิในนามของรัฐ นำไปสู่การ “เปลี่ยนเจ้าของ” โดยไม่มีแผนพัฒนาใดเพิ่มเติมหรือแย่กว่านั้น ลดทอนโอกาสของคนที่เคยลงมือสร้าง นั่นอาจไม่ใช่การใช้กฎหมายเพื่อสร้างความยุติธรรม แต่คือ การใช้อำนาจรัฐเพื่อครอบครองซ้ำอีกครั้ง โดยไม่สนใจอนาคตของเมือง
การรื้อเมืองด้วยข้อกฎหมายที่ยังตีความไม่ตรงกัน โดยไม่มองสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่คือการมองข้ามหัวใจของกฎหมาย ที่ควรรับใช้สังคม ไม่ใช่ย้อนทำลายมัน
เขากระโดงไม่เคยอยู่ในแผนที่ของรัฐ ไม่เคยอยู่ในนโยบายระดับชาติ ไม่เคยถูกพูดถึงบนเวทีของใครแต่กลับกลายเป็น หัวข้อเร่งด่วน เมื่อมัน เจริญเกินกว่าที่รัฐควบคุมได้
และในความเจริญนั้น ไม่มีใครเห็นรัฐลงมือสร้างแม้แต่น้อย ไม่มีงบกลาง ไม่มีคณะกรรมการ ไม่มีบิ๊กโปรเจกต์มีเพียงคนที่ตัดสินใจ “ทำ” ขึ้นมาจริง ๆ โดยไม่รอคำอนุมัติจากส่วนกลาง
เขาไม่ได้สร้างด้วยอำนาจรัฐ แต่ใช้ ทุน ความคิด และการลงแรง แบบคนที่ไม่รอใคร สนามกีฬา สนามแข่งรถ และกิจกรรมเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นผลลัพธ์จากการขับเคลื่อนแบบไม่มีข้อแม้
เพราะฉะนั้น คำถามสำคัญในวันนี้ ไม่ใช่แค่เรื่อง “ใครถือครอง” แต่คือ—ใครกันแน่ที่ลงมือ? ใครกันแน่ที่เปลี่ยนที่รกร้างให้กลายเป็นเมือง ใครกันแน่ที่ทำให้โลกต้องหันมองจังหวัดเล็กๆแห่งนี้
และถ้ารัฐจะกลับมาเพื่อ ทวงสิทธิ รัฐต้องกล้าตอบด้วยว่า ในวันที่พื้นที่นั้นไร้ค่า รัฐอยู่ที่ไหน
ที่สำคัญคือ…ถ้ารัฐเพิกถอน แล้วจะเอาพื้นที่ไปทำอะไร การรถไฟจะมาสร้างอะไรบนที่ดินที่ถูกเปลี่ยนให้มีมูลค่าแล้ว หรือแค่ต้องการคืนกรรมสิทธิ์ให้รัฐถือไว้เฉยๆ
หากวันนี้ เราเลือกจะรื้อสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจริง ด้วยข้อกฎหมายที่ยังคลุมเครือเพียงเพราะ เพิ่ง“นึกขึ้นได้ว่าเคยเป็นเจ้าของ” นั่นไม่ใช่การทวงคืนความยุติธรรมแต่มันคือการทำลายอนาคตด้วยมือของตัวเอง.