"สมศักดิ์" แจงยิบปมย้ายสิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกที่
31 กรกฎาคม 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ตอบกระทู้ถามของนายกันตภณ ดวงอัมพร สส.กทม.พรรคประชาชน เรื่องการโอนย้ายสิทธิประกันสุขภาพ 30 บาท ว่า ประชาชนสิทธิบัตรทอง กทม. มีจำนวน 3,551,675 คน มารับบริการ ประมาณ 1.3 ล้านคน หรือร้อยละ 38.28 มีหน่วยบริการปฐมภูมิ กทม. 366 แห่ง มีคลินิกชุมชนอบอุ่น 247 แห่ง
มีประชาชนลงทะเบียน 2,040,591 คน มารับบริการ 859,188 คน โดยประชาชนสามารถเลือกหน่วยบริการสาธารณสุขได้ทั้งคลินิกชุมชนอบอุ่น ศูนย์บริการสาธารณสุขหรือโรงพยาบาล ซึ่งเปลี่ยนหน่วยบริการได้ 4 ครั้ง/ปี โดยใช้เอกสาร เช่น บัตรประชาชน บิลค่าน้ำ-ค่าไฟ หนังสือรับรองการเช่าอาศัย เปลี่ยนหน่วยบริการผ่านทางเว็บไซต์แอพพลิเคชั่น Line และสายด่วน 1330
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า คำถามข้อที่ 1 แผนปฏิบัติการด้านระบบสาธารณสุขดิจิทัล และโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ มีความคืบหน้าและอุปสรรคอย่างไร โดยเฉพาะด้านบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวกับฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งรวมไปถึงมีแนวทางในการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่มีปัญหาจากการออกใบส่งตัวข้างต้นอย่างไร
ขออธิบายว่า การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านระบบสาธารณสุขดิจิทัล ใน กทม. เริ่มขยายการดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพในโครงการ Health Link เมื่อเดือนมกราคม 2568 มีการดำเนินการได้ 98.6 % (จำนวน 1,592 แห่ง จาก 1,614 แห่ง) ใช้งาน 3,186 ครั้ง ส่วนใหญ่ในศูนย์บริการสาธารณสุข และโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยระบบ E-Referral บริหารจัดการระบบรับส่งต่อผู้ป่วยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนา
นอกจากนี้พบปัญหาระหว่างการดำเนินงาน คือ หน่วยบริการปฐมภูมิหรือคลินิกชุมชนอบอุ่น ยังใช้น้อยมากเนื่องจากยังไม่คุ้นชินกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ไม่เปิดดูข้อมูลการรักษาพยาบาลในระบบ ยังคุ้นชินกับการใช้ใบส่งตัวแบบกระดาษ หน่วยบริการปฐมภูมิหรือคลินิกชุมชนอบอุ่น ไม่ส่งตัวประชาชนผู้ป่วยกรณีที่มีความจำเป็นในการรักษา ไปให้หน่วยบริการอื่นตามที่ประชาชนต้องการและยังมีหน่วยบริการไม่ส่งต่อ กรณีเกินศักยภาพต้องส่งต่อตามมาตรฐานการรักษาพยาบาล
ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหา ได้ทำความเข้าใจเรื่องการออกใบส่งตัวอิเล็กทรอนิกส์กับหน่วยบริการและประชาชน โดยขอให้หน่วยบริการในช่วงเปลี่ยนผ่านใช้ระบบการออกใบส่งตัวทั้งที่เป็นกระดาษและอิเล็กทรอนิกส์และกำกับติดตามอย่างเข้มข้นทุกเดือน รวมทั้งสื่อสารให้ประชาชนรับทราบแนวทางอย่างต่อเนื่อง
ส่วนแนวทางในการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่มีปัญหาจากการออกใบส่งตัว ประชาชนที่ได้รับการแจ้งว่า มีใบส่งตัวทางอิเล็กทรอนิกส์หรือกระดาษ ไปรับการรักษาที่หน่วยบริการหรือโรงพยาบาลที่ได้รับการส่งต่อได้ โดยจากกรณีข้างต้นหากมีปัญหาขอให้ติดต่อ สปสช. 1330 โดย สปสช. จะประสานหน่วยบริการให้ออกใบส่งตัวให้ครอบคลุมการรักษาไม่น้อยกว่า 30 วัน
ส่วนคำถามข้อที่ 2 กระทรวงสาธารณสุขมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาการขาดดุลกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและภาระหนี้ของหน่วยบริการปฐมภูมิอย่างไรซึ่งรวมไปถึงแนวทางการแก้ไขสัญญาบริการสาธารณสุขมีความเป็นธรรมที่มีมาตรฐานเดียวกันต่อหน่วยบริการปฐมภูมิ ทุติยภูมิอย่างไร
ตนขอตอบว่า การแก้ปัญหาการขาดดุลกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พื้นที่กรุงเทพมหานคร จากข้อมูลปีงบประมาณ 2568 ปัจจุบันมีคลินิกชุมชนอบอุ่น 247 แห่ง รับผิดชอบประชากรจำนวน 2,040,591 คน มีประชาชนมารับบริการจำนวน 859,188 คน โดยการจัดสรรงบประมาณกองทุนผู้ป่วยนอก ปีงบประมาณ 2568 จำนวน 1,462.77 บาท/คน ซึ่งกันเงินไว้ส่วนกลาง 361-410 บาท/คน/ปี สำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินหรือเหตุสมควร และกันเงินไว้ส่วนกลาง 300-360 บาท/คน/ปี
สำหรับตามจ่ายผู้ป่วยส่งต่อ พร้อมจัดสรรเงินเหมาจ่ายรายหัวแก่หน่วยบริการตามโครงสร้างประชากรผู้สูงอายุ ภาระโรค เพื่อให้หน่วยบริการได้รับงบประมาณอย่างเหมาะสมตามภารกิจที่รับผิดชอบโดยมีการจัดสรรตั้งแต่ 993.55 บาท ถึง 1,227.06 บาท (82.8 บาท/คน/เดือน ถึง 102.26 บาท/คน/เดือน)
"ข้อมูลการจัดสรรงบประมาณ สปสช. แก่คลินิกชุมชนอบอุ่น (ข้อมูลตาม พ.ร.บ.งบประมาณฯ ของแต่ละปี) ในปีงบประมาณ 2566 ได้มีการจัดสรรเงินให้คลินิกชุมชนอบอุ่น 256 แห่ง ทุกกองทุนจำนวน 1,877,461,869.29 บาท เฉพาะในส่วนกองทุนผู้ป่วยนอก จำนวน 1,262,637,029.71 บาท ในปีงบประมาณ 2567 ได้มีการจัดสรรเงินให้คลินิกชุมชนอบอุ่น 261 แห่ง ทุกกองทุนจำนวน 1,807,229,412.74 บาท เฉพาะในส่วนกองทุนผู้ป่วยนอก จำนวน 1,075,587,017.43 บาท
ในปีงบประมาณ 2568 ได้มีการจัดสรรเงินให้คลินิกชุมชนอบอุ่น 260 แห่ง ทุกกองทุนจำนวน 1,274,826,928.98 บาท เฉพาะในส่วนกองทุนผู้ป่วยนอก จำนวน 760,513,792.54 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 รวมคลินิกชุมชนอบอุ่น ใน กทม.ทุกแห่ง) โดยแนวทางแก้ไขหน่วยบริการที่ขาดสภาพคล่อง อปสข.กทม. ได้กำกับติดตามสถานการณ์การเงินของหน่วยบริการทุกเดือน ผ่านกลไกประชุมคณะทำงาน CFO และ อปสข. โดยเดือนมิถุนายน 2568 ได้การันตีเงินเหมาจ่ายรายหัวสำหรับหน่วยบริการบางแห่งที่ขาดสภาพคล่อง จำนวน 26 แห่ง จำนวน 30 บาท/คน/เดือน
ส่วนแนวทางการแก้ไขสัญญาให้บริการสาธารณสุข เดิมสัญญาฯระบุให้หน่วยบริการจะบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดระยะเวลาไม่ได้ แต่หากหน่วยบริการไม่ประสงค์ต่อสัญญาฯ ต้องแจ้ง สปสช. ไม่น้อยกว่า 180 วัน ก่อนวันสิ้นสุดสัญญา หากน้อยกว่า 180 วัน ต้องได้รับการยินยอมจาก สปสช. โดยได้มีการแก้ไขข้อบังคับการขึ้นทะเบียนหน่วยบริการ สัญญาฯ
หากหน่วยบริการไม่ประสงค์ต่อสัญญาฯ ต้องแจ้ง สปสช. เพื่อพิจารณาเหตุผลความจำเป็นและการเข้าถึงบริการสาธารณสุขประกอบการพิจารณา เมื่อมีการยกเลิกสัญญาฯ แล้ว หน่วยบริการต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการยกเลิกสัญญา
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข กำลังขับเคลื่อนลดผู้ป่วยให้น้อยลง และทำให้การเข้าถึงบริการสะดวกสบายขึ้น โดยเฉพาะ 50 เขต กทม. โดยต้องยอมรับว่า การจะสร้างโรงพยาบาล 50 เขต เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่เร็ว ประกอบกับบุคลากรทางการแพทย์ยังไม่เพียงพอ ตนจึงเดินหน้าแก้ปัญหาด้วยมินิคลินิก และระบบเทเลเมดิซีน โดยจะใช้หมอเกษียณมาช่วยทำหน้าที่ และมีการควบคุมคุณภาพ ตรวจสอบมาตรฐานจากกรมการแพทย์ พร้อมมีระบบป้องกันการทุจริต ซึ่งเมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา ครม.ก็มีมติให้กระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนเรื่องนี้ ในการดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่กทม.
นอกจากนี้ตนยังได้เดินหน้าลดผู้ป่วยด้วยโครงการ NCDs โดยขณะนี้ มีประชาชนนับคาร์บทั่วประเทศเป็นแล้ว 40 ล้านคนซึ่งหลังขับเคลื่อนมีคนมารักษา 222,996 คน โดยมีผู้ป่วยหายขาด 23,183 คน สามารถหยุดยาได้ 15,718 คน ซึ่งสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้แล้วกว่า 661 ล้านบาท ส่วนในพื้นที่ กทม. ตนก็กำลังเดินหน้าอบรม อสส.เพื่อขับเคลื่อนการนับคาร์บ ลดจำนวนผู้ป่วยต่อไป