ศาลสั่งให้ประกาศ 4 จว.ภาคเหนือ เป็นเขตคุม PM 2.5 ของทุกปี ก.พ.–พ.ค.
วันนี้ (1 ส.ค. 2568) ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศกำหนดให้จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และ แม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคม ของทุกปี โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด
คดีนี้มีที่มาจากการที่ นายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ชาวบ้าน ต.บ้านปง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ยื่นฟ้องต่อศาล โดยระบุว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติละเลยต่อหน้าที่ ในการแก้ปัญหามลพิษฝุ่น PM2.5 จากไฟป่าและการเผาในพื้นที่ภาคเหนือ ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องหลายปีจนสร้างความเสียหายรุนแรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน
เหตุผลคำพิพากษา
ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแม้จะมีการดำเนินการภายใต้วาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ตั้งแต่ปี 2563 ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ แต่ผลที่ปรากฏในพื้นที่ 4 จังหวัดดังกล่าว ระหว่างปี 2561–2564 ยังคงมีค่าฝุ่น PM2.5 สูงเกินมาตรฐานในช่วงเดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยังพบอัตราป่วยของ 4 กลุ่มโรคสำคัญ ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางเดินหายใจ โรคตาอักเสบ โรคผิวหนังอักเสบ
อันล้วนสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของมลพิษฝุ่น PM2.5 ศาลจึงชี้ว่าเป็นปัญหาที่มีแนวโน้มร้ายแรง ถึงขั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชน และเข้าข่ายพื้นที่ที่ต้องถูกประกาศเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ตามกฎหมาย
ดุลยพินิจและข้อคำนึง
ศาลยังได้ชี้ถึงความจำเป็นในการถ่วงดุลระหว่างการคุ้มครองสุขภาพของประชาชน กับ ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการลงทุน โดยเห็นว่า การประกาศเขตควบคุมมลพิษ แม้อาจกระทบต่อภาพลักษณ์และการพัฒนา แต่เป็นการเสียสละที่จำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและความปลอดภัยของประชาชน
ทั้งนี้ หากมาตรการควบคุม และลดฝุ่น PM2.5 สามารถทำให้คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานได้ ก็อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่จะเพิกถอนประกาศดังกล่าวภายหลังได้
ผลทางปฏิบัติ
ตามคำพิพากษา คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะต้องออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดให้จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษในช่วงกุมภาพันธ์–พฤษภาคมของทุกปี ภายใน 90 วันนับแต่คำพิพากษาถึงที่สุด
ความหมายเชิงนโยบาย
คำพิพากษาครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมไทย สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือไม่ใช่เพียงประเด็นเชิงสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่เป็นความรับผิดชอบของรัฐที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการมีคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดี