"ทิดแหล่" ให้ข้อมูลเด็ด รู้เลยทำไมพระตกเป็นเหยื่อ "สีกากอล์ฟ"
วันนี้ (12 ก.ค.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) อดีตพระครูสิริวิริยธาดา หรือทิดแหล่ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร ได้เดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบสวน กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีสัมพันธ์ฉาวสีกากอล์ฟ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป.
โดย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว หรือ (บิ๊กเต่า) รอง ผบช.ก. ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า หลังจากที่ได้เดินทางไปพบกับพระผู้ใหญ่ ณ วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหารเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา ยืนยันว่าได้เข้าไปหารือกับสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายมหานิกาย จุดประสงค์เพื่อให้พระชั้นผู้ใหญ่ได้มีส่วนร่วมจัดการกับปัญหานี้ให้จบโดยเร็ว เพราะก่อนหน้านี้ตำรวจได้ให้โอกาสพระที่เกี่ยวข้องไปสึกแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายรูปที่ยังไม่สึก พระบางรูปก็ปล่อยข่าวว่าสึกแต่ยังไม่ได้สึกก็มี
ตำรวจจึงได้ประสานทั้ง 2 นิกาย คือ มหานิกาย และธรรมยุต เพื่อส่งพยานหลักฐานให้ไปดำเนินการทางวินัยกับพระเหล่านี้ เพราะต้องบอกว่าตอนนี้ยังมีพระบางรูปได้แต่งตั้งทนายความขึ้นมาต่อสู้ โดยอ้างว่าเป็นคลิปตัดต่อเพื่อดึงเวลา ซึ่งตำรวจไม่อยากให้ทำเช่นนั้น ตำรวจอยากให้พระทุกรูปรับผิดชอบตนเอง และอยากบอกว่าตำรวจทำงานมาถึงขนาดนี้ ย่อมมีพยานหลักฐานที่เพียงพออยู่แล้ว เรื่องหลักฐานตำรวจไม่กังวล ดังนั้นขั้นตอนต่อไปก็จะต้องเรียกพระที่ยังไม่สึกมาพบตำรวจ และกางหลักฐานที่มีให้ดูกันเองเลย ซึ่งก็เชื่อว่าจะเป็นไปในแนวทางที่ดีและตำรวจจะเร่งดำเนินคดีทางอาญาด้วยเช่นกัน
สำหรับการเข้าสอบปากคำอดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ยืนยันว่าการสอบปากคำในวันนี้จาก "ทิดแหล่" หรือ พระครูสิริวิริยธาดา (ณรินทร ฐิตวีริโย) นั้นได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมาก ทำให้ตำรวจเข้าใจในพฤติกรรมที่ทำให้ "พระตกเป็นเหยื่อของสีกากอล์ฟ" รวมถึงเรื่องเงินก็ให้การสอดคล้องกับพยานหลักฐานที่ตำรวจได้มา ซึ่งในวันนี้เป็นการเริ่มสอบปากคำเป็นการเบื้องต้น ยืนยันว่าจะมีการนัดหมายทิดแหล่กลับมาให้ปากคำกับตำรวจอีกครั้งเพื่อสอบถามรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมให้ครบถ้วน
ส่วนจะมีพระเกี่ยวข้องกับสีกากอล์ฟมากกว่า 20 รูปหรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่อยากพูดถึงตัวเลข เพราะตอนนี้อยากแก้ปัญหาและฟื้นวิกฤติศรัทธาในพระพุทธศาสนา สำหรับพระรูปไหนที่ยังไม่ยอมสึกก็จะไล่เก็บให้จบ ส่วนการสืบสวนเส้นทางการเงิน ยืนยันว่าตำรวจก็ทำควบคู่กันไป ซึ่งหลังจากนี้จะบังคับใช้กฎหมายกับทุกคน หากใครดื้อไม่ยอมสึกก็เป็นหน้าที่ของตำรวจดำเนินการ เพราะมีหลักฐานยืนยันว่ามีเรื่องเส้นทางการเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกับพระทุกรูป แม้ว่าพระบางรูปจะสึกไปแล้วก็สามารถเรียกกลับมาดำเนินคดีได้
และหากเข้าข่ายการทุจริตก็จะเป็นมูลฐานคดีฟอกเงิน ซึ่งตำรวจดำเนินการไปเยอะแล้ว และก็พบอะไรเยอะพอสมควรแล้ว ดังนั้นเชื่อว่าจะมีความชัดเจนในไม่ช้า และการตรวจสอบเส้นทางการเงิน แค่ตำรวจมีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ 2-3 คดี ก็เพียงพอแล้ว เพราะจะเข้าข้อหายักยอกทรัพย์และทุจริต และคนที่รับเงินก็เข้าข่ายสนับสนุนการกระทำความผิด