มส.น้อมรับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช กำหนดหลักเกณฑ์ตรวจวัด ต้องมีเจ้าคณะ-พศ.ร่วมทุกครั้ง
ที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร มีการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) โดย สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้นำพระคติธรรมและพระบัญชาของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มาแจ้งต่อที่ประชุม เพื่อเป็นแนวทางพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์
สืบเนื่องจากปฏิบัติการ “กวาดลานวัด” ของตำรวจทั่วประเทศ ที่ลงพื้นที่ขอข้อมูลวัด ประวัติพระภิกษุ-สามเณร บัญชีเงินวัด บัญชีส่วนตัว หมายเลขบัตรประชาชน รวมถึงการถ่ายภาพและนับจำนวนตู้บริจาค จนสร้างความวิตกกังวลและความระส่ำระสายแก่พระสงฆ์หลายพื้นที่
สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระบัญชาให้ทุกฝ่ายซักซ้อมความเข้าใจ และประสานงานอย่างรอบคอบ โดยกำหนดให้การลงพื้นที่ตรวจสอบแต่ละครั้ง ต้องมีเจ้าคณะผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ร่วมกับตำรวจ เพื่อป้องกันการปฏิบัติที่เกินกว่าเหตุ หรือเกิดการคุกคามพระสงฆ์
ที่ประชุมยังมีมติให้ พศ. แจ้งไปยังรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อย้ำแนวปฏิบัติว่า ห้ามตรวจสอบบัญชีส่วนตัวของพระ เว้นแต่มีหมายศาล เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและเสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางมิชอบ
แหล่งข่าวจากที่ประชุมเผยว่า กรรมการ มส. บางรูปตำหนิการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่บางรายที่ไม่ให้เกียรติพระ แม้แต่กรรมการ มส. เองยังถูกขอให้ถือบัตรประชาชนถ่ายรูป เหตุการณ์ดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์จากพระสงฆ์ นักวิชาการ และนักกฎหมายว่าเป็นการละเมิดสิทธิและข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งรัฐธรรมนูญให้ความคุ้มครอง
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า บางวัดถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธครบมือบุกเข้าตรวจในยามวิกาล สร้างความรู้สึกหวาดกลัวและไม่ไว้วางใจ จนเจ้าอาวาสและพระสังฆาธิการหลายวัดแสดงความตั้งใจลาออก ขณะที่หลายจังหวัดประกาศงดร่วมกิจกรรมกับตำรวจ ส่งผลให้เกิดบรรยากาศความตึงเครียดในสังคม
ปรับแนวทางเก็บข้อมูลพระ-วัด คุมเข้มตรวจสอบการเงิน เคารพความเป็นส่วนตัว
ทั้งนี้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงในพระพุทธศาสนา โดยมีศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทราศุ ที่ปรึกษาคณะทำงานฯ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พร้อมด้วยตำรวจสอบสวนกลาง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
ภายหลังการประชุม พล.ต.อ.ไกรบุญ เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อปรับแนวทางการทำงานร่วมกันระดับปฎิบัติการมีตำรวจสอบสวนกลาง ตำรวจภูธรภาค 1-9 และสถานีตำรวจทั่วประเทศ พร้อมบูรณาการกับกองทัพภาคที่ 1-4 เพื่อชี้แจงไปยัง กอ.รมน.ในจังหวัดต่าง ๆ ให้เดินหน้าเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงพื้นที่ โดยสำนักพระพุทธศาสนาซึ่งมีบุคลากรจำกัดในหลายจังหวัด จะร่วมวางแผนลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับวัดและพระสงฆ์ อาทิ จำนวนพระภิกษุ สามเณร ผู้พักอาศัยในวัดป่าและพระอารามต่าง ๆ การบริหารจัดการภายในวัด ยืนยันว่าไม่ใช่การก้าวล่วงหรือเก็บข้อมูลส่วนตัวของพระ แต่เป็นการสร้างฐานข้อมูลที่สำนักงานพระพุทธศาสนาได้ดำเนินการมานาน เพื่อนำไปพัฒนาระบบงานและสร้างความโปร่งใสในอนาคต
ด้าน ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ก่อนเจ้าหน้าที่เข้าไปขอข้อมูลจากวัดจะมีการประสานล่วงหน้า ไม่ใช่การบุกตรวจอย่างกะทันหัน ข้อมูลที่ขอจะเป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการบริหารวัด ไม่รวมบัญชีการเงินส่วนบุคคล และจะต้องเก็บเป็นความลับเพื่อป้องกันความผิดพลาดหรือการเผยแพร่โดยไม่เหมาะสม อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการพัฒนาระบบบัญชีการเงินของวัดให้ชัดเจนและตรวจสอบได้ โดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินและสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ จะร่วมกันวางแนวทาง เนื่องจากบางวัดมีประชาชนศรัทธาบริจาคจำนวนมาก จึงต้องมีระบบดูแลเงินทองอย่างรัดกุม ไม่ให้มีการนำไปสู่การแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ คาดว่าภายใน 1-2 เดือน จะได้ข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้น
ในส่วนของการร้องเรียนเกี่ยวกับวัดทั่วประเทศ พบว่ามีทั้งสิ้น 382 เรื่อง โดยคัดกรองแล้วส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแล้ว 255 เรื่อง เหลือระหว่างคัดกรองอีก 108 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องพฤติกรรมพระที่ไม่เหมาะสม
พล.ต.อ.ไกรบุญ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีข่าวหมอดูชื่อดังเกี่ยวพันกับวัดแห่งหนึ่งว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ จึงขอให้เจ้าหน้าที่ทำงานให้ได้ข้อเท็จจริงก่อน ส่วนการรับบริจาคในนามนิติบุคคลหรือมูลนิธิในแต่ละวัด ตำรวจก็มีแนวทางตรวจสอบและแก้ไขปัญหาอยู่แล้ว พร้อมย้ำว่าทุกขั้นตอนจะทำด้วยความนอบน้อม เคารพพระธรรมวินัย และคำนึงถึงศรัทธาของประชาชนเป็นหลัก
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้เร่งเปิดหลักสูตร การจัดการบัญชีวัดอย่างมีมาตรฐาน ให้พระสงฆ์จากทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดกว่า 60 แห่งเข้าร่วม ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บัญชีวัดถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ และถูกสอนอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แค่การเก็บใบเสร็จหรือบันทึกยอดเงิน แต่คือการสร้างกลไกตรวจสอบภายในวัดเอง