ยูเครนย้ำไม่ยอมยกดินแดนให้ ก่อนทรัมป์พบปูตินในการประชุมสุดยอดสหรัฐฯ-รัสเซีย
เซเลนสกีประกาศว่ายูเครนจะไม่ยกดินแดนให้รัสเซียเพื่อซื้อสันติภาพ หลังจากที่วอชิงตันและมอสโกตกลงจัดการประชุมสุดยอดเพื่อยุติสงครามในสัปดาห์หน้าที่ทรัมป์จะได้พบกับปูตินที่อะแลสกา
ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ยืนข้างธงชาติยูเครนและธงชาติสหรัฐอเมริกา (Photo by ALESSANDRO DELLA VALLE / POOL / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม 2568 กล่าวว่า รัฐบาลวอชิงตันและมอสโกยืนยันการพบกันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินที่รัฐอะแลสกาของสหรัฐอเมริกาในวันที่ 15 สิงหาคม เพื่อพยายามยุติสงครามที่ยืดเยื้อมาสามปี แม้จะมีคำเตือนจากเซเลนสกีและสหภาพยุโรปว่ายูเครนต้องได้ร่วมการเจรจาด้วย
ทรัมป์ประกาศการประชุมสุดยอดเมื่อวันศุกร์ว่า จะมีการแลกเปลี่ยนดินแดนเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย โดยไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
หลายชั่วโมงต่อมา ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีประกาศผ่านโซเชียลมีเดียว่า ชาวยูเครนจะไม่ยกดินแดนของตนให้กับผู้ยึดครอง
"การตัดสินใจใดๆ ที่ต่อต้านเรา การตัดสินใจใดๆ ที่ปราศจากยูเครน ก็ถือเป็นการตัดสินใจที่ขัดต่อสันติภาพเช่นกัน และพวกเขาจะไม่ประสบผลสำเร็จใดๆ" เขากล่าว และเสริมว่า "สงครามไม่สามารถยุติได้หากไม่มียูเครน"
เซเลนสกีเรียกร้องให้พันธมิตรของยูเครนดำเนินการอย่างชัดเจนเพื่อบรรลุสันติภาพที่ยั่งยืน ระหว่างการโทรศัพท์หารือกับเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ
ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติจากพันธมิตรของรัฐบาลเคียฟ ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา, ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร ได้รวมตัวกันในสหราชอาณาจักรเมื่อวันเสาร์เพื่อปรับมุมมองของพวกเขาก่อนการประชุมสุดยอดระหว่างปูตินและทรัมป์
ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส เปืดเผยหลังจากการสนทนาทางโทรศัพท์กับเซเลนสกี, นายกฯอังกฤษ และนายกฯเยอรมนี กล่าวว่า "อนาคตของยูเครนไม่สามารถตัดสินใจได้หากไม่มีชาวยูเครน และยุโรปก็ต้องมีส่วนร่วมในการเจรจานี้ด้วย"
ในการกล่าวแถลงช่วงเย็นวันเสาร์ เซเลนสกีเน้นย้ำว่า "สงครามนี้ต้องยุติลงอย่างตรงไปตรงมา และขึ้นอยู่กับรัสเซียที่จะยุติสงคราม เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายเริ่มต้น"
การเจรจาสามรอบระหว่างรัสเซียและยูเครนในปีนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ และยังไม่ชัดเจนว่าการประชุมสุดยอดจะนำมาซึ่งสันติภาพได้ใกล้เคียงยิ่งขึ้นหรือไม่ เนื่องจากจุดยืนของทั้งสองฝ่ายยังคงห่างไกลกัน
มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นรายนับตั้งแต่รัสเซียเริ่มการรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ขณะที่ประชาชนหลายล้านคนต้องอพยพออกจากถิ่นที่อยู่
ปูตินได้ต่อต้านข้อเรียกร้องหลายครั้งจากสหรัฐอเมริกา, ยุโรป และยูเครน ที่ต้องการให้หยุดยิง และตัดสินใจยังไม่เจรจากับเซเลนสกีในขั้นตอนนี้
ขณะที่ผู้นำยูเครนผลักดันให้มีการประชุมสุดยอดสามฝ่าย และโต้แย้งว่าการพบปะกับปูตินเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้าสู่สันติภาพ
การประชุมสุดยอดที่อะแลสกาซึ่งเป็นดินแดนทางตอนเหนือสุดที่รัสเซียขายให้กับสหรัฐอเมริกาในปี 1867 จะเป็นครั้งแรกระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ และรัสเซียที่อยู่ในตำแหน่ง นับตั้งแต่โจ ไบเดน พบกับปูตินที่เจนีวาในเดือนมิถุนายน 2021 และเก้าเดือนต่อมา รัสเซียได้ส่งกองกำลังเข้าไปในยูเครน
เซเลนสกีกล่าวถึงสถานที่จัดประชุมว่า "อยู่ห่างไกลจากสงครามที่กำลังโหมกระหน่ำบนแผ่นดินและประชาชนของเรา"
รัสเซียแถลงว่าการเลือกสถานที่นี้สมเหตุสมผลแล้ว เพราะอะแลสกาตั้งอยู่บนพรมแดนระหว่างสองประเทศ และนี่คือจุดที่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศมาบรรจบกัน
รัฐบาลมอสโกยังได้เชิญทรัมป์ให้เดินทางเยือนรัสเซียเพื่อตอบแทนในภายหลัง
ทรัมป์และปูตินได้นั่งประชุมร่วมกันครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2019 ในการประชุมสุดยอด G20 ที่ญี่ปุ่นในช่วงสมัยแรกของทรัมป์ แม้ทั้งคู่ได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์หลายครั้งตั้งแต่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง แต่ทรัมป์ก็ยังไม่สามารถเจรจาสันติภาพในยูเครนได้อย่างที่เขาหาเสียงไว้
สถานการณ์สู้รบล่าสุด รัสเซียและยูเครนยังคงส่งโดรนหลายสิบลำโจมตีตำแหน่งของกันและกันในช่วงเช้าตรู่ของวันเสาร์
มีรายงานว่ารถโดยสารประจำทางที่บรรทุกพลเรือนถูกยิงโจมตีที่เคอร์ซอนซึ่งเป็นเมืองแนวหน้าของยูเครน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 รายและบาดเจ็บ 16 คน
กองทัพรัสเซียอ้างว่าสามารถยึดยาโบลนอฟกา ซึ่งเป็นหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งในภูมิภาคโดเนตสค์อันเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบรุนแรงที่สุดทางตะวันออก และเป็นหนึ่งในห้าภูมิภาคที่ปูตินกล่าวว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย
เจ้าหน้าที่ยูเครนกล่าวว่า มีผู้เสียชีวิต 4 รายที่โดเนตสค์ หลังการโจมตีของรัสเซีย
ทั้งนี้ในปี 2022 รัสเซียประกาศผนวกดินแดนของยูเครน 4 แห่ง ได้แก่ โดเนตสค์, ลูฮันสค์, ซาปอริซเซีย และเคอร์ซอน เป็นส่วนหนึ่งของตน แม้ว่าจะไม่ได้ควบคุมดินแดนทั้งหมดได้ก็ตาม
ก่อนหน้านี้ รัสเซียได้ผนวกคาบสมุทรไครเมียจากยูเครนในปี 2014
รัสเซียเรียกร้องให้ยูเครนถอนกำลังออกจากภูมิภาคต่างๆ และให้คำมั่นที่จะเป็นรัฐที่เป็นกลาง, หลีกเลี่ยงการสนับสนุนทางทหารจากชาติตะวันตก และห้ามเข้าร่วมนาโต
ยูเครนประกาศว่าจะไม่ยอมรับการควบคุมของรัสเซียเหนือดินแดนอธิปไตยของตน แต่ยอมรับว่าการที่จะได้ดินแดนคืนจากรัสเซียอาจต้องดำเนินการทางการทูต ไม่ใช่ในสนามรบ.