Future Defense เทคโนโลยีเพื่อ ‘เสถียรภาพ’
สถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยแรงเสียดทานทางภูมิรัฐศาสตร์ ได้ปลุกกระแสการลงทุนใน “เทคโนโลยีป้องกันประเทศ” (Defense Tech) ทั้งในเชิงงบประมาณ ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการเร่งสร้างนวัตกรรมที่พร้อมใช้งานจริง
รายงานจากหลายแหล่งชี้ว่า งบกลาโหมทั่วโลกในปี 2025 พุ่งทะลุ 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ประเทศไทยเองเริ่มจัดสรรงบประมาณด้านความมั่นคงอย่างมีเป้าหมายมากขึ้น โดยมุ่งเน้นระบบไซเบอร์ การป้องกันเชิงรุก และศักยภาพการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ
ทั้งหมดนี้คือ “พื้นที่ใหม่” สำหรับภาคเอกชนไทย ไม่ใช่แค่ในเรื่องจัดซื้อจัดจ้าง แต่ในบทบาทของผู้ร่วมสร้างระบบความมั่นคงร่วมกับภาครัฐและพันธมิตรระดับภูมิภาค
Defense Tech กำลังเปลี่ยนสถานะจาก “เทคโนโลยีเฉพาะทาง” ไปสู่ “เทคโนโลยีจำเป็น” ที่ทุกประเทศต้องพัฒนาไว้ล่วงหน้า ท่ามกลางความตึงเครียดที่ปะทุขึ้นเป็นระลอกทั่วโลก เราเห็นสหรัฐเร่งพัฒนาเอไอเชิงยุทธศาสตร์ อียูเทงบประมาณสู่ระบบป้องกันอัตโนมัติ ขณะที่จีนและรัสเซียเดินหน้าเทคโนโลยีสงครามใหม่แบบไร้รูปแบบ (Hybrid Warfare)
ในอีก 5 ปีข้างหน้า เราจะเห็นเทคโนโลยีป้องกันประเทศแทรกตัวอยู่ในแทบทุกอุตสาหกรรม: ตั้งแต่เกษตรกรรมอัจฉริยะที่ต้องปลอดภัยจากการโจมตีทางไซเบอร์, โลจิสติกส์ที่ใช้ระบบตรวจจับความเสี่ยงแบบเรียลไทม์, ไปจนถึงเมืองอัจฉริยะที่เชื่อมโยงกับโครงข่ายเฝ้าระวังระดับชาติ
เทคโนโลยีเหล่านี้จะไม่ใช่ “ของฟุ่มเฟือย” แต่คือ “โครงสร้างพื้นฐานใหม่” ของโลกยุคที่เสถียรภาพคือความไม่แน่นอน ประเทศใดเข้าใจและลงมือก่อน จะไม่เพียงมีอาวุธ แต่จะมีอนาคตที่กำหนดได้เอง
แม้ภูมิภาค ASEAN จะยังไม่มีผู้เล่นรายใหญ่ แต่เริ่มมีการปรับแผนงานด้าน Defense Tech อย่างมีนัยสำคัญ ฟิลิปปินส์เน้นป้องกันชายฝั่ง อินโดนีเซียเร่งสร้างอุตสาหกรรมในประเทศ ไทยเดินหน้าลงทุนเทคโนโลยีไซเบอร์และ dual-use
ขณะที่ทั้งภูมิภาคเพิ่ม R&D แต่ยังพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก เราเห็นการร่วมมือระหว่างภาครัฐ มหาวิทยาลัย และภาคเอกชน ในการพัฒนาระบบ UAV, ระบบสื่อสารเข้ารหัส และระบบเฝ้าระวังเชิงรุกที่ตอบโจทย์สภาพพื้นที่ เช่น แนวพรมแดน ภูเขา หรือแหล่งชุมชนหนาแน่น
ไทยเองก็มีสถาบันที่วางรากฐานด้านนี้ไว้อย่างต่อเนื่อง เช่น สถาบันป้องกันประเทศ ที่เริ่มเปิดแนวร่วมกับสตาร์ตอัปไทย รวมถึงความเคลื่อนไหวล่าสุดของกลุ่มทุนเอกชนที่เริ่มมองเห็นโอกาสการเข้าสู่ Defense Tech เป็น “vertical ใหม่” ที่ควรบ่มเพาะควบคู่ไปกับ Climate Tech หรือ Health Tech
สะท้อนภาพอนาคตว่า “ความมั่นคง” อาจไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในค่ายทหาร แต่อยู่ในระบบเทคโนโลยีที่พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนในทุกมิติ
สำหรับองค์กรเอกชนไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเทคโนโลยี หุ่นยนต์ ซอฟต์แวร์เอไอ หรือ IoT โอกาสในอุตสาหกรรม Defense Tech ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การประมูลโครงการจากภาครัฐอีกต่อไป แต่ขยายไปถึงการพัฒนา เทคโนโลยีใช้งานแบบ dual-use ที่สามารถตอบโจทย์ทั้งพลเรือนและทหาร
เช่น ระบบวิเคราะห์ภาพจากโดรน, ระบบควบคุมความปลอดภัยในพื้นที่ระยะไกล, หรือระบบ logistic automation ที่สามารถนำมาใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่วนภาครัฐเองควรมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการ เปิดพื้นที่ทดลอง (defense sandbox) เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาและทดสอบเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างมาตรฐานรองรับ
Defense Tech ไม่ใช่เรื่องอาวุธอีกต่อไป แต่คือโครงสร้างพื้นฐานของความมั่นคงสมัยใหม่ ประเทศที่สามารถออกแบบและควบคุมระบบเทคโนโลยีได้เอง จะมีอำนาจต่อรองในเวทีโลกมากกว่าการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ