พระเอกราชากังฟู ข่าวลือว่าตายหลายรอบ เปิดภาพล่าสุดวัย 62 ความไม่เที่ยงของชีวิต
ชีวิตไม่เที่ยง พระเอกตำนานราชากังฟู ข่าวลือว่าตายหลายรอบ เปิดภาพล่าสุดวัย 62 ปี แฟนคลับแห่เป็นห่วง
พระเอกตำนานหนังบู๊ฮ่องกง หลี่ เหลียนเจี๋ย (Jet Li) ฉายาราชากังฟู ที่ช่วงหลังห่างหายจากวงการ และเคยมีข่าวลือสุขภาพย่ำแย่จนถึงขั้นถูกปล่อยข่าวเสียชีวิตหลายครั้ง ถึงกับต้องออกมาปฏิเสธเองว่า “ผมยังไม่ตาย”
ล่าสุด (17 ส.ค.) เขาสร้างความตกใจอีกครั้งเมื่อเผยภาพตัวเองนอนบนเตียงคนไข้ ยืนยันว่าถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล แต่ไม่ได้เปิดเผยสาเหตุ
ในคลิปที่เจ้าตัวอัปเดตผ่าน Douyin หลี่ เหลียนเจี๋ย ยอมรับว่า “เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้เผชิญกับบททดสอบของความไม่เที่ยงอีกครั้ง” พร้อมแนบภาพตัวเองนอนป่วยอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียว หลับตาพักผ่อน ใต้ผ้าห่มสีขาว ข้างเตียงมีเครื่องมือตรวจวัดสัญญาณชีพที่แสดงค่าอัตราการเต้นหัวใจและระดับออกซิเจนในเลือด อีกทั้งยังเห็นชัดว่าเขากำลังให้น้ำเกลือและมีสายไฟทางการแพทย์ต่อพ่วงอยู่ แสดงว่าอยู่ระหว่างการรักษา
แม้เจ้าตัวจะไม่ได้บอกสาเหตุการเข้าโรงพยาบาล แต่แฟน ๆ ต่างแสดงความห่วงใย เขาเคยพูดติดตลกว่า “ผมยังไม่ตายนะ มีข่าวลือในจีนว่าผมตายมาแล้วสิบปี มีคนติดตามกว่าล้าน ๆ คน ทั้งที่ตายมาหลายรอบแล้วก็ยังไม่ตายจริง”
ตั้งแต่ปี 2013 ที่ หลี่ เหลียนเจี๋ย ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคไฮเปอร์ไทรอยด์ เขาก็ปรากฏตัวต่อสาธารณะน้อยลง และมักมีภาพที่ดูอ่อนเพลีย ผอมซูบเผยแพร่ออกมาอยู่บ่อย ๆ แถมยังมีข่าวลือเสียชีวิตออกมาเป็นระยะ ทำให้สุขภาพของเขาได้รับความสนใจอย่างมาก
เจ็ท ลี กับลูกสาว
ชีวประวัติ หลี่ เหลียนเจี๋ย
หลี่ เหลียนเจี๋ย หรือที่ชาวโลกคุ้นชื่อว่า เจ็ท ลี (Jet Li) เกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2506 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เขาเป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 5 คน แต่ต้องเผชิญกับความสูญเสียตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อพ่อเสียชีวิตไปตอนเขาอายุเพียง 2 ขวบ ทำให้เติบโตมาโดยการเลี้ยงดูของมารดาเพียงลำพัง
เมื่ออายุ 8 ขวบ ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนปี 1971 เจ็ต ลี ได้เข้าร่วมกิจกรรมศิลปะป้องกันตัวของโรงเรียน และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวเข้าสู่โลกของ วูซู (Wushu) หรือศิลปะการต่อสู้แบบจีน
ในปี 1974 เขามีโอกาสครั้งสำคัญในฐานะตัวแทนทีมชาติจีน เดินทางไปแสดงศิลปะการต่อสู้ที่ทำเนียบขาวต่อหน้าประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน แห่งสหรัฐฯ ถือเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ระหว่างจีน–สหรัฐฯ
ตลอด 5 ปีถัดมา หลี่ยังคงครองแชมป์การแข่งวูซูระดับประเทศ ก่อนจะเปลี่ยนบทบาทมาทำหน้าที่โค้ชทีมชาติ
จากนักกีฬาสู่จอเงิน
ในวัยเพียง 20 ปี หลี่ เหลียนเจี๋ย ได้ก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์ โดยผลงานที่แจ้งเกิดคือ “Shaolin Temple” (1982) หรือชื่อไทยเสี่ยวลิ้มยี่ ภาพยนตร์เรื่องนี้โด่งดังไปทั่วเอเชียและทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
เสี่ยวลิ้มยี่
ต่อมาเขาย้ายไปฮ่องกงและได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดัง ฉีเคอะ (Tsui Hark) โดยภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทำงานร่วมกันคือ “Once Upon a Time in China” (1991) หรือ หวงเฟยหง ภาค 1 ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งในประเทศและต่างประเทศ หลังจากนั้นทั้งคู่ยังคงร่วมงานกันต่อในหลายเรื่อง เช่น
Swordsman II (1992) หรือ เดชคัมภีร์เทวดา ภาค 2
The Master (1992) หรือ ฟัดทะลุโลก
Once Upon a Time in China II (1992) และ ภาค 3 (1993)
Black Mask (1996) หรือ ดำมหากาฬ
Once Upon a Time in China and America (1997) หรือ หวงเฟยหง ภาค 6
- หวงเฟยหง
นอกจากนี้ หลี่ ยังได้ร่วมงานกับผู้กำกับสายแอ็กชันระดับตำนานหลายคน เช่น หยวน หวูปิง, เฉิง เสี่ยวตง, หยวน ขุย และ หง จินเป่า จนสร้างผลงานดังอย่าง Fist of Legend (1994), Tai Chi Master (1993), Fong Sai-Yuk (1993) และอีกมากมาย
เขายังมีบริษัทสร้างหนังของตัวเองในชื่อ Eastern Production ที่ผลิตผลงานดังหลายเรื่อง เช่น Fong Sai-Yuk I & II, Tai-Chi Master, และ Fist of Legend
โกอินเตอร์สู่ฮอลลีวูด
หลังจากปี 1997 ที่ฮ่องกงกลับคืนสู่จีนแผ่นดินใหญ่ หลี่ เหลียนเจี๋ย เริ่มหันไปทำงานในฮอลลีวูด โดยเดบิวต์ครั้งแรกใน “Lethal Weapon 4” (1998) หรือ คนมหากาฬ ภาค 4 รับบทตัวร้ายปะทะกับนักแสดงชื่อดังอย่าง เมล กิบสัน และ แดนนี่ โกลเวอร์
จากนั้นในปี 2000 เขาได้รับบทนำเต็มตัวใน “Romeo Must Die” (2000) หรือ ศึกแก๊งมังกรผ่าโลก ซึ่งถือเป็นผลงานภาษาอังกฤษเรื่องแรกที่เขารับบทพระเอก และสามารถครองตารางบ็อกซ์ออฟฟิศสหรัฐฯ ได้หลายสัปดาห์
Romeo Must Die
ชีวิตหลังรอดตาย
ต้นปี 2010 หลี่ ประกาศว่าจะลดงานแสดงลง เพื่ออุทิศเวลาให้กับงานด้านสังคมและการก่อตั้งมูลนิธิ The One Foundation เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โดยแรงบันดาลใจมาจากการรอดชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิที่มัลดีฟส์ในปี 2004 เขายอมรับว่าแม้ศิลปะการต่อสู้จะช่วยให้มีชื่อเสียง แต่ก็ไม่อาจต้านทานพลังธรรมชาติได้
ดังนั้น จากนี้ไปการแสดงสำหรับเขาจึงเป็นเพียง “งานอดิเรก” แต่เจ็ต ลี ก็ยังคงเป็นตำนานที่มีอิทธิพลต่อวงการหนังบู๊ทั้งเอเชียและฮอลลีวูดอย่างไม่เสื่อมคลาย