ทรัมป์ลั่นใกล้ปิดดีล ปูตินยื่นข้อเสนอสันติภาพแลกดินแดน-ยูเครนยืนกรานไม่ถอย
การประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ที่ฐานทัพอากาศในอลาสกา กำลังกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสงครามยูเครน หลังมีรายงานว่าผู้นำรัสเซียได้ยื่นข้อเสนอ Peace Deal ที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขซึ่งท้าทายต่อยูเครนและพันธมิตรตะวันตก โดยสาระสำคัญคือการ “แลกเปลี่ยนดินแดนกับการรับประกันความมั่นคง”
ข้อเสนอที่รั่วไหลออกมาเผยว่า รัสเซียพร้อมถอนทหารออกจากบางพื้นที่ขนาดเล็กที่ครอบครองอยู่ในภูมิภาคซูมีและคาร์คีฟ รวมราว 440 ตารางกิโลเมตร แลกกับการที่เคียฟต้องถอนกำลังทั้งหมดออกจากแคว้นโดเนตสก์และลูฮันสก์ ซึ่งยูเครนครองพื้นที่ไว้ราว 6,600 ตารางกิโลเมตร และถือเป็นแนวป้องกันยุทธศาสตร์สำคัญต่อการสกัดกั้นการรุกของรัสเซีย
นอกจากนี้ ปูตินยังเรียกร้องให้ยูเครนยอมรับสถานะทางการอย่างเป็นทางการของภาษารัสเซียภายในประเทศ รวมถึงสิทธิในการดำเนินกิจการของศาสนจักรออร์โธดอกซ์ที่เกี่ยวพันกับมอสโก ข้อเสนอเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นประเด็นละเอียดอ่อน เนื่องจากหน่วยงานด้านความมั่นคงของยูเครนกล่าวหาศาสนจักรดังกล่าวว่ามีส่วนช่วยเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อและให้ที่พักพิงแก่สายลับรัสเซีย
ในมิติด้านความมั่นคง รัสเซียยังคงยืนยันว่า ยูเครนจะไม่สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO ได้ แต่เปิดช่องให้พิจารณาการรับประกันความปลอดภัยรูปแบบพิเศษ เช่น กลไกคล้าย “มาตรา 5” ของ NATO ที่ให้คำมั่นว่าการโจมตีประเทศหนึ่งจะถือเป็นการโจมตีต่อทุกประเทศพันธมิตร ซึ่งผู้นำยุโรปยอมรับว่าทรัมป์ได้หยิบยกประเด็นนี้มาหารือด้วย
ข้อตกลงดังกล่าวยังรวมถึงการที่รัสเซียต้องการให้สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรยอมรับอธิปไตยของมอสโกเหนือแคว้นไครเมีย ซึ่งรัสเซียผนวกมาตั้งแต่ปี 2014 แต่ยูเครนและยุโรปยังคงปฏิเสธอย่างแข็งขัน พร้อมกันนี้ปูตินคาดหวังการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรบางส่วนที่ตะวันตกใช้กดดันเศรษฐกิจรัสเซีย
แม้การประชุมครั้งนี้จะไม่สามารถบรรลุการหยุดยิงตามที่ทรัมป์ต้องการ แต่เขายืนยันผ่านการให้สัมภาษณ์กับ Fox News ว่า “เราใกล้จะได้ข้อตกลงแล้ว” พร้อมระบุว่าเหลือเพียงการตัดสินใจของยูเครนว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธ
ด้านยูเครน แสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่มีทางยอมถอนทหารจากดอนบาส โดยประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี เตรียมเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันเพื่อหารือกับทรัมป์ในวันจันทร์นี้ ท่ามกลางแรงกดดันจากการโจมตีด้วยโดรนและขีปนาวุธของรัสเซียที่ยังคงถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง