‘ปตท.’ ธุรกิจใหม่ต้องใช้เวลา ธุรกิจหลักแกร่ง-ครึ่งปีหลังฟื้่นหนุนราคาหุ้นพุ่ง
ส่องทิศทางธุรกิจกลุ่ม “ปตท.” หลังแถลงผลงานไตรมาส 2 ภาพรวมแม้กำไรลด ถือว่าบริหารจัดการได้ดีท่ามกลางความผันผวนของราคาน้ำมัน เช่นเดียวกับการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างธุรกิจจากการลงทุนต่อเนื่องใน New S-Curve โบรกฯคาดใช้เวลาอีก 2-3 ปีเริ่มเห็นผล ประเมินครึ่งปีหลัง 2568 หลายธุรกิจฟื้นตัว หนุนราคาหุ้นขยับ แถมอัตราปันผลยังสม่ำเสมอสูงกว่าค่าเฉลี่ย
เมื่อเร็วๆนี้ กลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มาหชน)(PTT) และบริษัทย่อยได้ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2568 และครึ่งปีแรกของปี 2568 แล้ว โดยส่วนใหญ่มีผลกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปัจจัยหลักอย่างการขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน (Stock Loss) และราคาน้ำมันที่ผันผวน
เริ่มที่ บมจ. ปตท. มีกำไรสุทธิ 21,533 ล้านบาท ลดลง 39.29% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/67 สาเหตุหลักมาจากการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและผลการดำเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่อ่อนตัว ถัดมา บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) มีกำไรสุทธิ 13,515 ล้านบาท ลดลง 43.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/67 เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยและปริมาณการขายที่ลดลง
ขณะที่บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ขาดทุนสุทธิ 3,616 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำกำไร สาเหตุหลักจากผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง ตามมาด้วยบมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) ขาดทุนสุทธิ 2,132 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 191% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 732 ล้านบาท ผลกระทบจากขาดทุนสต็อกน้ำมันและต้นทุนการเงิน
นอกจากนี้ บมจ. โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) ขาดทุนสุทธิ 168 ล้านบาท ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 178 ล้านบาท แม้รายได้จากการขายจะเพิ่มขึ้นแต่ยังคงมีผลขาดทุนจากธุรกิจเอทานอล และ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ไตรมาส 2/68 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,019 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/68 ที่ระดับ 1,140 ล้านบาท โดยมาจากการลงทุนในโครงการพลังงานลมในไต้หวัน ทำให้รับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ไต้หวันแข็งค่าขึ้น อีกทั้งโครงการไซยะบุรี พาวเวอร์ (XPLC) มีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
TOPกำไรโดดเด่นสุด
จากข้อมูลพบว่า บริษัทในกลุ่ม ปตท. ที่มีผลกำไรเติบโตมากที่สุดทั้งในไตรมาส 2/68 และครึ่งปีแรก 2568 คือ บมจ.ไทยออยล์(TOP) โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 873% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตขึ้น 44% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาจากรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (รายการ Negative Goodwill) จากการซื้อกิจการโรงกลั่นแห่งหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์สุทธิของกิจการที่ซื้อมา ทำให้เกิดผลต่างทางบัญชีที่เป็นกำไร ซึ่ง TOP ได้นำมาบันทึกในงบการเงินในไตรมาส 2/68
และบมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล(PTTGC) มีผลขาดทุนสุทธิสูงสุดในกลุ่ม ส่วนครึ่งปีแรก 2568 พบว่า IRPC มีผลขาดทุนสะสมสูงสุดในกลุ่ม โดยขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 3,338 ล้านบาท
ภาพรวม PTT ยังแข็งแกร่ง
สำหรับครึ่งปีแรก 2568 ของ บริษัท ปตท. มีรายได้รวม 1,376,977 ล้านบาท แม้จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 14.2% แต่ยังคงทำกำไรได้ 44,848 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน แม้เผชิญกับปัจจัยท้าทายทางเศรษฐกิจโลกและราคาพลังงานที่ผันผวน โดยสัดส่วนรายได้ของ ปตท. ในช่วงครึ่งปีแรก 2568 มาจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติและธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ยังเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง
ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น เป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบจากราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีก แม้ว่าราคาขายจะลดลง แต่ธุรกิจนี้ยังคงสร้างรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติม นั่นคือธุรกิจใหม่ (Non-Hydrocarbon) ของปตท. ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life Science) และธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต นั่นทำให้เห็นว่า โครงสร้างรายได้ของ ปตท. ยังคงขึ้นอยู่กับธุรกิจต้นน้ำเป็นหลัก นั่นคือ ก๊าซธรรมชาติและปิโตรเลียม
ทำให้ภาพรวมการดำเนินงานของกลุ่ม ปตท. ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะยังคงเน้นการบริหารจัดการความผันผวนของราคาพลังงานโลก และเร่งสร้างความแข็งแกร่งภายในองค์กร รวมถึงการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ทิศทางในแต่ละธุรกิจของ PTT
มีการประเมินว่า ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ยังคงเป็นธุรกิจหลักที่สร้างกำไรและเงินสดที่แข็งแกร่งให้กับกลุ่ม ปตท.ต่อไป โดยเน้นการเพิ่มปริมาณการผลิตจากโครงการเดิมและโครงการใหม่ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ พร้อมกับเดินหน้าโครงการสำคัญในต่างประเทศ เช่น โครงการในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่คาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในปีนี้ และคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับ 65–75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ขณะที่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากราคา LNG ที่ลดลง จะช่วยให้การผลิตและการใช้ก๊าซในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ทำให้เร่งการเจรจาเพื่อเพิ่มปริมาณการส่งมอบก๊าซจากแหล่งต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการของประเทศ
ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น (PTTGC, TOP, IRPC) นับว่าเป็นธุรกิจที่ต้องเผชิญกับความท้าทายจากส่วนต่างกำไร (margin) ที่ลดลง และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้ต้องมุ่งเน้นการบริหารจัดการสต๊อกน้ำมันอย่างระมัดระวัง เพื่อลดความเสี่ยงจากผลขาดทุนและนั่นทำให้ กลุ่ม ปตท.มีแผนที่จะพิจารณาหาพันธมิตรทางธุรกิจสำหรับธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นในช่วงปลายปี เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
สำหรับธุรกิจใหม่ (New S-Curve) และพลังงานแห่งอนาคตนั้น ปตท. ยังคงเดินหน้าลงทุนในธุรกิจที่ไม่ได้มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (Non-Hydrocarbon) อย่างต่อเนื่อง รวมถึงธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งยังคงมุ่งเน้นการขยายสถานีชาร์จ EV Station PluZ โดยตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนหัวชาร์จเป็น 7,000 แห่งภายในปี 2573
ขณะที่ธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตและพลังงานหมุนเวียนนั้น ปตท. มีแผนที่จะลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนและโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) เพื่อสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ
วิเคราะห์แผนลงทุนระยะยาว ปตท.
ที่ผ่านมา แผนการลงทุนระยะยาวของ ปตท. ถือว่าสอดคล้องกับเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านองค์กรจากธุรกิจพลังงานแบบดั้งเดิมไปสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน โดยเน้นการลงทุนใน "ธุรกิจแห่งอนาคต" หรือที่เรียกว่า New S-Curve เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและสร้างการเติบโตใหม่ให้กับกลุ่มบริษัท
ทั้งนี้ แผนลงทุนระยะยาวของ ปตท. มีเป้าหมายชัดเจนที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ Go Green คือการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น พลังงานหมุนเวียน พลังงานไฮโดรเจน และการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS)
ถัดมาคือGo Electric การลงทุนเพื่อสร้างระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) อย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และ Go Lean การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจหลักที่มีอยู่เดิมให้แข็งแกร่งและคล่องตัวยิ่งขึ้น เพื่อนำกำไรมาสนับสนุนการลงทุนในธุรกิจใหม่
และจากการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ปตท. และบริษัทในกลุ่มได้เดินหน้าตามแผนการลงทุนระยะยาวอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม แต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่าน โดยส่วนที่ทำได้ดีและตรงตามเป้าหมาย คือการลงทุนในธุรกิจ EV นั่นเพราะ ปตท. มีความคืบหน้าอย่างรวดเร็วในการขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้า EV Station PluZ และการร่วมทุนกับพันธมิตรระดับโลกเพื่อพัฒนาและผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นการวางรากฐานธุรกิจแห่งอนาคตที่ชัดเจน
ขณะที่การมุ่งสู่พลังงานสะอาด พบว่าการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนของบริษัทลูกอย่าง GPSC และการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ CCS แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ส่วนการลงทุนในธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต มีการจัดตั้งบริษัทลูกและร่วมมือกับพันธมิตรในธุรกิจยาและโภชนาการทางการแพทย์ซึ่งเป็นการเริ่มก้าวเข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูงอย่างเป็นรูปธรรม
ดังนั้นแม้จะมีการลงทุนอย่างมหาศาล แต่รายได้และกำไรจากธุรกิจใหม่เหล่านี้ยังอยู่ในระดับที่น้อยมากเมื่อเทียบกับธุรกิจน้ำมันและก๊าซที่เป็นธุรกิจหลัก ทำให้ยังต้องใช้ระยะเวลาในการพิสูจน์ว่าธุรกิจใหม่จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าได้หรือไม่ อีกทั้งการที่ ปตท. เข้าไปในธุรกิจที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่น EV และยา ทำให้ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้เล่นรายเดิมในตลาดและผู้เล่นรายใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
อย่างไรก็ตาม “ปตท.” มีจุดเด่นที่สำคัญอยู่ที่ความสามารถในการระดมเงินลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ แม้ผลลัพธ์ทางการเงินที่แท้จริงจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนในอีกหลายปีข้างหน้า ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านในระยะยาว
และนั่นทำให้เริ่มหลายคนมองว่าการดำเนินงานของ ปตท. ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเป็นช่วงของการเร่งการเปลี่ยนผ่านที่จริงจัง โดยนำกำไรจากธุรกิจหลักมาเป็นเชื้อเพลิงในการลงทุนเพื่ออนาคต ซึ่งจะทำให้กลุ่มธุรกิจใหม่ ๆ ที่เคยเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในภาพรวมขององค์กร
ราคาหุ้น PTT ยังน่าสนใจ
จากข้อมูลล่าสุด (22ส.ค.) ราคาหุ้น PTT ปิดที่ 32.00 บาทต่อหุ้น ถือว่าใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 52 สัปดาห์ โดยราคาหุ้น PTT เคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 27.00 - 35.00 บาท ทำให้ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวงให้คำแนะนำ "ซื้อ" โดยมีมุมมองเชิงบวกอย่างมากต่อหุ้น PTT เนื่องจากมองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ ปตท. ในการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ซึ่งไม่ใช่แค่การขยายธุรกิจใหม่ (New S-Curve) แต่ยังรวมถึงแผนการสร้างกระแสเงินสดเพิ่มเติมอีกกว่า 100,000 ล้านบาทภายใน 2 ปีข้างหน้าซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง การปรับโครงสร้างนี้ไม่ได้ส่งผลดีแค่ในแง่ของศักยภาพการเติบโตของบริษัทในระยะยาว แต่ยังช่วยหนุนความสามารถในการจ่ายเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูงได้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าแม้ธุรกิจหลักเดิมจะมีความผันผวน แต่ ปตท. ก็มีแผนการที่ชัดเจนในการสร้างแหล่งรายได้ใหม่เพื่อมารองรับ และยังคงรักษาระดับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใ
เช่นเดียวกับ บล.เกียรตินาคินภัทร คำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย: 40 บาท โดยยอมรับว่าผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2568 อาจเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ แต่ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อกลยุทธ์การปรับโครงสร้างองค์กรที่กำลังดำเนินการในครึ่งปีหลังของปี 2568 โดยมองว่าแผนการดังกล่าวจะช่วยปลดล็อกมูลค่าของหุ้นในระยะยาวและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงจุดเด่นของหุ้น PTT ที่มีการจ่ายเงินปันผลอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาวและต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง แม้ในช่วงที่ธุรกิจหลักมีความผันผวน
ตามด้วย บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง คำแนะนำ "ทยอยซื้อ" เพราะมีมุมมองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงจากความกังวลในเรื่องนโยบายพลังงานของภาครัฐ (Policy Risk) ได้สะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวไปแล้ว และมองว่าเป็นการ "ตื่นตระหนกเกินกว่าผลกระทบจริง" (Over Panic than Impact) เนื่องจากเชื่อว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับกำไรของ ปตท. นั้นมีจำกัด และโอกาสที่ ปตท. จะต้องแบกรับภาระชดเชยราคาพลังงานในระดับหมื่นล้านบาทเหมือนในอดีตนั้นมีน้อยมาก เพราะมีกลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงคอยช่วยบรรเทาผลกระทบอยู่ ดังนั้น ราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่จะทยอยสะสมหุ้นเพื่อการลงทุนในระยะยาว
และ บล.กสิกรไทย คำแนะนำ "ซื้อ"ราคาเป้าหมาย: 33.80 บาท โดยคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานของ ปตท. จะฟื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากกลุ่มธุรกิจค้าปลีกน้ำมันที่คาดว่าจะมีกำไรดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังมองว่ากลยุทธ์ของ ปตท. ในการลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานจะช่วยหนุนผลประกอบการให้กลับมาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และเชื่อว่า ปตท. จะยังคงรักษานโยบายการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอในระดับ 6-7% ซึ่งทำให้หุ้นมีความน่าสนใจในแง่ของผลตอบแทนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในระยะยาวได้เป็นอย่างดี
จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนว่าหุ้น ปตท. ยังเหมาะกับการถือลงทุนระยะยาวในฐานะหุ้นที่มีพื้นฐานมั่นคงและให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่สม่ำเสมอ แม้ว่าราคาอาจไม่เติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังคงเป็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย
โดยในด้านปัจจัยพื้นฐาน ปตท. มีโอกาสที่ราคาจะปรับเพิ่มขึ้นในระยะยาวจาก กลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านองค์กร ที่ชัดเจน อิงจากธุรกิจหลักยังคงแข็งแกร่ง แม้ราคาน้ำมันจะผันผวน แต่ธุรกิจต้นน้ำและก๊าซธรรมชาติยังคงเป็นแหล่งรายได้และกระแสเงินสดที่มั่นคง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการลงทุนในธุรกิจใหม่
ขณะที่ธุรกิจแห่งอนาคต (New S-Curve) การลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต จะเป็นปัจจัยที่เพิ่มมูลค่าหุ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว เมื่อธุรกิจเหล่านี้เริ่มสร้างกำไรอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ผลประกอบการของบริษัทลูกในกลุ่มปิโตรเคมีและการกลั่นที่เคยขาดทุน คาดว่าจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลังของปี 2568 จากราคาพลังงานที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
ส่วนปัจจัยทางเทคนิค ราคาหุ้น ปตท. ในปัจจุบันเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ Sideways หรือ ทรงตัว โดยมีแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจน ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนในตลาดระยะสั้น แต่ก็เป็นช่วงที่นักลงทุนระยะยาวสามารถพิจารณาทยอยสะสมได้
สำหรับอัตราการจ่ายปันผลที่ผ่านมา ปตท. มีประวัติการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอและอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยจ่ายปันผลรวมต่อปี 2565 ที่ระดับ 2.00 บาทต่อหุ้น ปี 2566 ที่ระดับ 2.00 บาทต่อหุ้น ปี 2567 ที่ระดับ 2.10 บาทต่อหุ้น ถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่า 5% ซึ่งถือว่าน่าสนใจอย่างมากเมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่ในตลาด และในปี 2568 นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ปตท. ยังคงจะจ่ายเงินปันผลในระดับที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO