ผู้บริหารบริษัทพลังงานหมุนเวียนสหรัฐฯ เตือนนโยบายทรัมป์อาจดันค่าไฟพุ่ง
ผู้บริหารบริษัทพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐฯ ออกโรงเตือนถึงผลกระทบจากการต่อต้านพลังงานสะอาดของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ชี้การสกัดกั้นโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และลมจะทำให้อุปทานไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้โครงข่ายไฟฟ้าอ่อนแอลง และค่าไฟของประชาชนสูงขึ้น
หลังจากทรัมป์ประกาศผ่านสื่อโซเชียลอย่าง Truth Social ว่า รัฐบาลของเขาจะไม่อนุมัติโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมอีกต่อไป โดยให้เหตุผลว่าโครงการเหล่านี้ทำให้ทัศนียภาพไม่สวยงามและทำลายพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งคำประกาศนี้สร้างความกังวลให้กับผู้บริหารระดับสูงในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนเป็นอย่างมาก
ประเด็นนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแสดงความเห็นทางการเมือง แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานของบริษัทต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการออกคำสั่งให้ดัก บูร์กัม (Doug Burgum) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้ามาควบคุมการอนุมัติใบอนุญาตโครงการพลังงานหมุนเวียนทั้งหมดเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งสมาคมพลังงานสะอาดแห่งสหรัฐฯ (American Clean Power Association) ได้ออกมาประณามว่าเป็นการขัดขวางการทำงานที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ผู้บริหารของบริษัทพัฒนาพลังงานสะอาดชั้นนำในสหรัฐฯ เช่น Arevon, Avantus และ Engie North America ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การสกัดกั้นการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนจะทำให้วิกฤตพลังงานที่กำลังคุกคามสหรัฐฯ เลวร้ายลงไปอีก
เควิน สมิธ (Kevin Smith) ซีอีโอของ Arevon ชี้ให้เห็นว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐฯ กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากศูนย์ข้อมูลที่รองรับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกำลังสร้างขึ้นทั่วประเทศ ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานรูปแบบเดิม เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหินและนิวเคลียร์ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ผลกระทบทางนโยบายยังส่งผลให้เกิด ความไม่แน่นอนในการลงทุน บริษัทพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์และกังหันลมต้องเผชิญกับอุปสรรคในการวางแผนและตัดสินใจ เนื่องจากกฎระเบียบและเงื่อนไขต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ภาพรวมพลังงานหมุนเวียนตอนนี้ นอกจากการสกัดกั้นการอนุญาตแล้ว กฎหมาย One Big Beautiful Bill Act ที่ทรัมป์ลงนามเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา ยังได้ยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำคัญสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียน
ซึ่งจะยิ่งทำให้ต้นทุนสูงขึ้นไปอีก โดยผู้เชี่ยวชาญคาดว่า ราคาพลังงานแสงอาทิตย์จะเพิ่มขึ้นเป็น 100 เหรียญสหรัฐต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง จากเดิมที่ประมาณ 60 เหรียญสหรัฐต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งจะกระทบกับภาคธุรกิจขนาดเล็กและครัวเรือนโดยตรง