คดีเขากระโดง สรุปต้นตอ–แนวทางรัฐยึดคืนที่ดิน
เขากระโดง ปมที่ดินทับซ้อน 5,000 ไร่ จุดตัดของกฎหมาย การเมือง และสิทธิรัฐ
จุดเริ่มต้นของข้อพิพาท
เขากระโดง ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์ เป็นพื้นที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นเขตสงวนเพื่อสร้างทางรถไฟตั้งแต่ปี 2462 โดยรัฐบาลสยามในยุครัชกาลที่ 5 ตามพระราชกฤษฎีกาจัดวางทางรถไฟสายอีสานตอนล่าง โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้รับสิทธิในการครอบครองและใช้ประโยชน์จากที่ดินดังกล่าว
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เกิดการออกเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนบนที่ดินบริเวณเขากระโดงจำนวน 995 แปลง ครอบคลุมพื้นที่รวมกว่า 5,083 ไร่ โดยมีทั้งประชาชนและเอกชนเป็นผู้ถือครอง ก่อให้เกิดข้อพิพาททางกฎหมายที่ยืดเยื้อระหว่าง รฟท. และเจ้าของเอกสารสิทธิ์
การฟ้องร้องและคำพิพากษาของศาล
รฟท. ดำเนินการยื่นฟ้องต่อกรมที่ดิน ขอให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกทับซ้อนบนที่ดินซึ่งตนถือเป็นกรรมสิทธิ์ โดยอ้างอิงแผนที่และหลักฐานทางราชการที่แสดงว่าเป็นที่ราชพัสดุซึ่งสงวนไว้เพื่อการคมนาคม
คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 และศาลฎีกา ระบุชัดเจนว่า พื้นที่พิพาทเป็นที่ดินของรัฐ และอยู่ในความดูแลของการรถไฟฯ โดยให้กรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนโฉนดตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงก่อนปี 2567 กรมที่ดินมีมติ “ไม่เพิกถอน” เอกสารสิทธิ์ โดยให้เหตุผลว่า แนวเขตยังไม่ชัดเจน และผู้ถือครองบางรายอาจได้สิทธิ์มาโดยสุจริต เป็นเหตุให้ รฟท. ยื่นฟ้องกรมที่ดินกลับต่อศาลปกครอง
ปี 2568 กระทรวงมหาดไทยภายใต้การกำกับของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และนายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ตั้งคณะกรรมการสอบสวนรอบใหม่ โดยพบว่า กรมที่ดินเคยสอบแนวเขตร่วมกับ รฟท. แล้วตั้งแต่ปี 2567 และมีผลสรุปแน่ชัดว่าพื้นที่พิพาทอยู่ในเขตของ รฟท.
คณะกรรมการจึงมีมติว่า อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจดำเนินการเพิกถอนโฉนดได้ทันที โดยไม่ขัดต่อกฎหมายหรือคำพิพากษาศาล ซึ่งทำให้กระทรวงมหาดไทย ประกาศเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกัน นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ได้ยื่นขอลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้การเปลี่ยนผ่านดำเนินไปโดยไม่มีข้อครหา
มิติทางการเมืองและผลประโยชน์ทับซ้อน
ประเด็นเขากระโดง ไม่ได้อยู่ในมิติของกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับอิทธิพลทางการเมืองในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ชื่อของตระกูลการเมืองใหญ่ในจังหวัดบุรีรัมย์ถูกพูดถึงในบริบทของการถือครองที่ดิน สื่อมวลชนบางสำนักรายงานว่า พื้นที่พิพาทส่วนหนึ่งถูกพัฒนาเป็นสนามฟุตบอลและสนามแข่งรถ
ข้อสงสัยว่ารัฐบาลใช้คดีนี้เพื่อเจรจาต่อรองทางการเมือง หรือเพื่อควบคุมพื้นที่อิทธิพลจึงเกิดขึ้นเป็นระยะ แม้เจ้าหน้าที่รัฐยืนยันว่าทุกอย่างดำเนินไปตามคำพิพากษาของศาลและหลักนิติธรรม
ความเคลื่อนไหวของภาคประชาชนและเจ้าของสิทธิ์
ชาวบ้านบางส่วนที่ถือครองที่ดินพร้อมยินดีเจรจากับรัฐ บางส่วนยินดีเช่าที่จาก รฟท. ขณะที่อีกจำนวนหนึ่งปฏิเสธการเช่าหรือเพิกถอนโฉนด โดยอ้างเหตุผลเรื่องสิทธิชุมชน และค่าเช่าที่ไม่เป็นธรรม
ข้อถกเถียงที่ยังดำรงอยู่คือ หลักการตีความ“การได้มาซึ่งสิทธิ์โดยสุจริต” และความคลุมเครือของแนวเขตที่ใช้มาตั้งแต่ต้น ทั้งนี้ กระบวนการเพิกถอนโฉนดจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่คิดว่าตนได้รับความเสียหาย ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอความเป็นธรรมต่อไป
ข้อสรุป ณ กลางปี 2568
การดำเนินการล่าสุดชี้ว่า กระทรวงมหาดไทยและกรมที่ดินภายใต้การบริหารชุดปัจจุบัน ได้เริ่มต้นกระบวนการเพิกถอนโฉนดโดยอาศัยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้วเป็นฐานทางกฎหมาย
คดีนี้กลายเป็นกรณีศึกษาระดับประเทศว่าด้วยความทับซ้อนของสิทธิรัฐ กฎหมายทรัพย์สิน และอำนาจทางการเมือง กระบวนการที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2462 ยังไม่อาจสรุปได้ในวันนี้ว่าจะจบลงเมื่อใด เพราะแม้กฎหมายจะชัดเจน แต่การบังคับใช้ในพื้นที่จริงยังต้องเผชิญแรงเสียดทานจากหลากหลายทิศทาง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง