‘อินโนเวสท์ เอกซ์’ ชี้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/2568 เผชิญภาวะเปราะบาง-สงครามการค้า
"อินโนเวสท์ เอกซ์" วิเคราะห์ไตรมาส 3/2568 เศรษฐกิจไทยเปราะบาง-สงครามการค้าไม่จบ ขณะที่เศรษฐกิจโลก ยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะ "Mild Stagflation" แนะลงทุนสินทรัพย์คุณภาพ
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บริษัท หลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) เปิดเผยมุมมองเศรษฐกิจประจำไตรมาส 3/2568 ว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3/2568 ประเมินความเสี่ยงทางลงมีจํากัด แต่ Upside ก็ไม่มาก แม้สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ กับประเทศคู่ค้าหลักจะเริ่มคลี่คลาย แต่ยังคงเป็นความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความผันผวนได้ต่อ จากนโยบายที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้อย่างฉับพลัน
ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายในหลายด้าน ได้แก่ ความไม่แน่นอนด้านการค้า การท่องเที่ยวที่ยังชะลอตัว ความเปราะบางของภาคเกษตร การเมืองที่ยังมีความไม่แน่นอน หนี้ครัวเรือนในระดับสูงและการลงทุนภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัว
จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่ถูกกดดันจากปัจจัยดังกล่าว การกระจายพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพยังเป็นหัวใจหลักของการลงทุนในภาวะที่ตลาดมี upside ไม่มาก แต่มีความผันผวนสูง
ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับไตรมาสนี้ คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเผชิญความเสี่ยงต่อเนื่องจากสงครามการค้าเศรษฐกิจสหรัฐ จะชะลอลงจากผลกระทบภาษีศุลกากร Fed คาดจะไม่ลดดอกเบี้ยและเงินเฟ้อจะเพิ่มสู่ 3.6% แต่ทั้งนี้ ต้องจับตาเงินเฟ้อ การบริโภค และการจ้างงานใกล้ชิด ส่วนจีนแม้จะมีแนวโน้มชะลอแต่มาตรการกระตุ้นจะช่วยพยุง
สำหรับไทยยังเผชิญความเสี่ยงหลายด้านโดยเฉพาะอัตราภาษี Reciprocal Tariff ที่ประกาศ ณ วันที่ 7 กรกฎาคม ทำให้มีความเสี่ยงต่อประมาณการ GDP ของไทยในปีนี้ที่ 1.4% (สมมุติฐานภาษี Reciprocal Tariff ที่ 15%) อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ มองว่า ข้อตกลงการค้าสหรัฐ-เวียดนามเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 อาจเป็นฐานสำหรับการเจรจาการค้าของไทย ดังนี้
1. ไทยอาจต้องลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐ เป็น 0% เช่นเดียวกับเวียดนาม
2. ไทยจะต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้นอีกมาก
ทั้งนี้ หากการเจรจาสำเร็จ และทำให้ภาษีลดลงเหลือ 15-20% GDP จะเติบโต 1.1-1.4% ในปี 2568 (ความน่าจะเป็น 30%) แต่หากภาษี 21-28% GDP จะขยายตัว 1.0-0.0% (ความน่าจะเป็น 50%) ส่วนในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากต้องเผชิญภาษี 29-36% GDP อาจหดตัวที่ (-0.1%)- (-1.1%) (ความน่าจะเป็น 20%)
ด้าน นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า InnovestX ยังคงเป้าหมายดัชนี SET Index ปี 2568 ที่ระดับ 1,250 จุด โดยมองว่า ระดับต่ำกว่า 1,100 จุดเป็นจุดเข้าซื้อที่น่าสนใจ การฟื้นตัวของตลาดยังต้องอาศัยนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย การเร่งลงทุนภาครัฐ และเสถียรภาพของสภาพคล่องในระบบ
สำหรับกลยุทธ์สำคัญสำหรับช่วงไตรมาส 3 คือการคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ทั้งในด้านงบดุล รายได้ที่หลากหลาย Valuation ที่เหมาะสม และโอกาสรับอานิสงส์จากเมกะเทรนด์การลงทุนในประเทศและการค้าโลกที่ฟื้นตัว หุ้นเด่นที่เราคัดเลือก ได้แก่ BCH, CPF, DIF, MTC และ SCC ซึ่งตอบโจทย์คุณสมบัติทั้ง 5 ข้อที่เราใช้ในการประเมิน
ในฝั่งตลาดต่างประเทศ เน้นกระจายการลงทุนในกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตมั่นคง การเพิ่มการลงทุนด้านการทหาร ลดน้ำหนักเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ที่เริ่มชะลอ พร้อมเน้นธีม Domestic Play โดยเฉพาะเอเชีย ซึ่งจีนยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
เปิดโผหุ้นแนะนำ 3 ตลาดหลัก
- หุ้นแนะนำในตลาดสหรัฐได้แก่ AMD, Constellation Energy, Goldman Sachs, Microsoft, Netflix, RTX
- หุ้นแนะนำในตลาดยุโรปได้แก่ BNP Paribas, Deutsche Telekom, Iberdrola, Rheinmetall, SAP, Siemens
- หุ้นแนะนำในตลาดจีนได้แก่ CATL, China Mobile, Hong Kong Exchange, SMIC, Tencent, Trip.comBottom of Form
ขณะที่ ดร. รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ หัวหน้าฝ่าย Investment Strategy และฝ่าย Trading Product Specialist บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์หลักในการลงทุนไตรมาส 3/2568 คือ การจัดพอร์ตอย่างสมดุล โดยกระจายการลงทุนในหลายประเภทสินทรัพย์และภูมิภาค เพื่อกระจายความเสี่ยง รับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน ทั้งจากภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายการเงิน และทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
ในฝั่งสินทรัพย์ปลอดภัย ทองคำ ยังคงน่าสนใจจากแรงซื้อสะสมของธนาคารกลางทั่วโลกและการอ่อนค่าของดอลลาร์ ตราสารหนี้ แนะนำลงทุนใน Duration ระยะสั้น (< 2 ปี) ที่มีความยืดหยุ่นและรับมือกับความเสี่ยงเงินเฟ้อได้ดีกว่าตราสารระยะยาว ตราสารทุน ยังคงเน้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (EM) และหุ้นนอกสหรัฐฯ (Ex-US) โดยเฉพาะเวียดนามและจีนที่มีแนวโน้มฟื้นตัว และยังมี Valuation ที่น่าสนใจ ขณะที่แนะจับตาหุ้นยุโรป จากสัญญาณการฟื้นตัวทั้งจากเศรษฐกิจในปีนี้และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปีหน้า
ด้านผลิตภัณฑ์กองทุนแนะนำประจำไตรมาส 3/2568 สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตในธีมต่างประเทศที่มีศักยภาพเติบโต ได้แก่
- UOBSG-H ที่ลงทุน SPDR Gold Shares ETF ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- DAOL-CHINATECH ที่ชูธีมหุ้นเทคจีนชั้นนำอย่าง Xiaomi และ Tencent
- PRINCIPLE VNEQ-A กองทุนแรกของไทยที่ลงทุนในหุ้นเวียดนามคุณภาพดี
- LHHEALTH-A เน้นกลุ่มการแพทย์ทั่วโลกที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ราคาปรับลงอยู่ในจุดที่น่าสนใจ
- DR HSHD23 ที่ลงทุนในหุ้นจีนชั้นนำ 50 ตัว อิงดัชนี Hang Seng High Dividend Yield ปันผลสูงเฉลี่ย 6-8% ต่อปี
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เปิดกลยุทธ์ลงทุนหุ้น Defensive Stock ชู 4 หุ้นหลบภัยช่วงตลาดหุ้นขาลง
- ส่อง 5 เทคนิคจับสัญญาณเตือนภัย หุ้นเสี่ยงมีปัญหาการเงิน!!
- ส่องทิศทางหุ้นไทยไตรมาส 3 คาดแกว่งกรอบ 1,050-1,180 จุด ระวัง!! แตะ 1,000 จุด
ติดตามเราได้ที่