PJUS GROUP ผนึกยักษ์ค้าปลีกมะกัน ลุยฝ่าภาษีทรัมป์ สู้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย

ผู้ประกอบการไทยจำนวนไม่น้อยที่พึ่งพาตลาดสหรัฐเป็นตลาดหลัก ต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน แต่มีอีกหนึ่งรายที่ยังยืนหยัด และยังขยายตลาดได้อย่างแข็งแกร่ง คือ “PJUS GROUP” ผู้นำเข้าสินค้าไทยรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา

“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “นายประมุข เจิดพงศาธร” ประธานกรรมการบริหาร PJUS GROUP และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ (HTA) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ในโอกาสเข้ามาจัดหาสินค้าไทย ถึงกลยุทธ์การฝ่าคลื่นเศรษฐกิจโลก สถานการณ์ตลาดอเมริกา ภาษีทรัมป์ และโอกาสใหม่ของสินค้าไทยในห้างยักษ์ค้าปลีกระดับโลก

นายประมุข กล่าวว่า สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยเฉพาะนโยบายด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐ ที่ส่งผลต่อซัพพลายเชนทั่วโลก ทั้งนี้หลังจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ประกาศปรับขึ้นภาษีศุลกากรพื้นฐาน (Baseline Tariff) 10% สำหรับสินค้านำเข้าทุกประเทศ รวมถึงสินค้าจากไทย ส่งผลให้บริษัทจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปแล้ว

ผลกระทบไม่ได้จบเพียงเท่านั้น สหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อนหน้านี้ยังได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตราสูงถึง 145% ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 125% แม้ต่อมาทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงชั่วคราว โดยสหรัฐลดภาษีเหลือ 30% และจีนลดเหลือ 10% เป็นเวลา 90 วัน แต่ช่วงเวลาดังกล่าวกลับสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

“ยกตัวอย่างบางบริษัทนำเข้าสินค้าบางรายของสหรัฐนำเข้าเพียง 8 ตู้คอนเทนเนอร์ แต่ต้องเสียภาษีถึง 8 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 26 ล้านบาทจากภาษีนำเข้าสินค้าจีน ทำให้ต้องปรับโครงสร้างค่าใช้จ่าย ด้วยการไปปลดพนักงานถึง 21 คน ซึ่งบริษัทอเมริกันหลายแห่งได้เจอชะตากรรมเดียวกัน”

สินค้าจีนทะลัก-SMEs ไทยรับเคราะห์

นอกจากนี้สถานการณ์ที่จีนผลิตสินค้าไว้จำนวนมหาศาล แต่ถูกยกเลิกออร์เดอร์จากผู้สั่งซื้อในสหรัฐ ทำให้สินค้าดังกล่าวไหลเข้าสู่ตลาดอื่นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเวลานี้ไทยก็เผชิญกับสินค้าจีนราคาถูกที่ทะลักเข้ามาแข่งขันกับผู้ประกอบการ SMEs ภายในประเทศอย่างรุนแรง รัฐบาลไทยไม่ว่าชุดไหนก็คงเอาไม่อยู่ เพราะปัญหามันใหญ่และซับซ้อนมาก

ขณะเดียวกัน เมื่อสหรัฐและจีนลดภาษีกันชั่วคราว ผู้นำเข้าสหรัฐที่เดิมจองเรือขนส่งสินค้าจากไทย เวียดนาม รวมถึงจากประเทศอื่น ๆ ก็เปลี่ยนไปนำเข้าสินค้าจากจีนแทน ทำให้สายการเดินเรือปรับค่าระวางเรือจากเดิมเฉลี่ยที่ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้ พุ่งเป็น 4,000-5,000 ดอลลาร์ต่อตู้ทันทีหากต้องการเรือบรรทุกสินค้า ก่อนกำหนดเส้นตายวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ที่สหรัฐจะบังคับใช้อัตราภาษีตอบโต้ใหม่กับกว่า 60 ประเทศ

โลกป่วน-ค่าระวางผันผวน

อย่างไรก็ดี ผลพวงจากความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่านที่เกิดขึ้นล่าสุด(ก่อนที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิง) ทำให้เศรษฐกิจโลกเผชิญภาวะไม่แน่นอน การซื้อขายชะงักงัน คนซื้อถอดใจ คนขายก็ขายไม่ออก ส่งผลให้ค่าระวางเรือปรับลดลงเหลือ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้ในเส้นทางไปยังฝั่งตะวันตกของสหรัฐ จากระดับก่อนหน้าที่พุ่งถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ

“เศรษฐกิจสหรัฐตอนนี้กำลังชะลอตัวและอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ข้อเท็จจริงเวลานี้ธุรกิจจำนวนมากในสหรัฐปิดตัว ทั้งแฟรนไชส์ร้านอาหาร ธุรกิจค้าปลีก และอื่น ๆ บริษัทจำนวนมากประกาศล้มละลายเพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ตามทวง คนไม่มีเงินก็ไม่กิน ไม่ซื้อ สุดท้ายร้านค้าก็ไปไม่รอด” นายประมุข กล่าว

อย่างไรก็ตามแม้สภาพเศรษฐกิจโลกจะผันผวนอย่างหนัก แต่ PJUS GROUP ยังสามารถรักษาการเติบโตไว้ได้ โดยเฉพาะในตลาดเท็กซัส ที่ในช่วงสองไตรมาสแรกปีนี้ยอดค้าปลีกโดยรวมหดตัวลงราว 10% แต่ยอดขายของ PJUS ยังเติบโตถึง 13% และคาดว่าสิ้นปีจะโตถึง 2 เท่าจากปีก่อนหน้า เนื่องจากบริษัทได้ขยายตลาดต่อเนื่อง และมีแบรนด์ของตัวเองที่มั่นคงแล้ว

โดยแบรนด์หลักของกลุ่ม คือ“QUEEN ELEPHANT” ครอบคลุมสินค้าหลากหลาย เช่น ข้าวหอมมะลิจากทุ่งกุลาร้องไห้ ซอสพริก ผลไม้อบแห้ง นํ้ามะพร้าว ฯลฯ ซึ่งจากที่บริษัทอยู่ในหมวดธุรกิจอาหาร ซึ่งยังมีความต้องการสูง และคู่ค้าหลักในสหรัฐมีเครือข่ายใหญ่ที่ใหญ่ ทำให้ได้รับผลกระทบน้อย

ดึงผู้ซื้อรายใหญ่ช้อปสินค้าไทย

ล่าสุด PJUS GROUP ได้นำผู้บริหารของห้าง Joe V’s Smart Shop by H-E-B ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ H-E-B ค้าปลีกรายใหญ่ที่มี 450 สาขาในมลรัฐเท็กซัส รวมถึงในประเทศเม็กซิโก (ยอดขายรวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.65 ล้านล้านบาทต่อปี) มาเยือนไทยเพื่อชมโรงงานผู้ผลิตของไทย

ทั้งนี้ได้จัดกิจกรรมแสดงสินค้าจากผู้ประกอบการไทย เพื่อพบปะพูดคุยกับผู้บริหารของ Joe V’s Smart Shop by H-E-B โดยมีผู้ประกอบการสินค้าไทยเข้าร่วมหลากหลาย เช่น ผลิตภัณฑ์พลาสติก เครื่องครัว หม้อหุงข้าว และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ถือเป็นโอกาสของสินค้าไทย หากสามารถแข่งขันทั้งด้านราคาและคุณภาพได้ ก็จะมีโอกาสขยายตลาดในสหรัฐได้อีกมาก

ยุค"ทรัมป์"บนความไม่แน่นอนสูง

นายประมุข ยังกล่าวถึงผลกระทบของนโยบายการค้าสหรัฐฯ โดยเฉพาะในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีความไม่แน่นอนสูง นโยบายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และส่งผลกระทบไปทั่วโลกทันที โดยเฉพาะในภาคการผลิตและการขนส่งสินค้า

“คำพูดของคนที่มีอำนาจ พูดคำเดียวเปลี่ยนได้ทันที โรงงานที่มีแรงงานเป็นพันเป็นหมื่นคน พอเขาเปลี่ยน เราเบรกอย่างไรก็ไม่ได้ ไม่ใช่เรือขนส่งอยู่ดี ๆ เลิกขน เพราะเกิดอะไรขึ้นค่าใช้จ่ายก็ยังมีทุกวัน”

ทั้งนี้นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงฉับพลัน ทำให้ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกปั่นป่วน โรงงานผลิตสินค้าส่งออกต้องหยุดชะงัก ขณะที่ต้นทุนยังเกิดขึ้นทุกวัน ทำให้ผู้ประกอบการต้องมีความยืดหยุ่นและเตรียมรับความเสี่ยงไว้ตลอดเวลา

ในมุมเศรษฐกิจมหภาค นายประมุขชี้ให้เห็นถึงภาวะเงินเฟ้อและภาวะถดถอย (Recession) ในสหรัฐว่าเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย

“เศรษฐกิจสหรัฐเวลานี้อยู่ในภาวะถดถอย และถ้าเป็น Stagflation หรือภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน ถึงเวลานั้นสหรัฐจะมาลดดอกเบี้ยก็คงไม่ทันแล้ว”

เขายังชี้ถึงสาเหตุที่เงินบาทแข็งค่าในช่วงที่ผ่านมา เพราะเม็ดเงินดอลลาร์ที่เคยไหลออกจากสหรัฐฯ เริ่มไหลกลับเข้าประเทศท่ามกลางความไม่แน่นอน นักลงทุนเริ่มลดการถือครองดอลลาร์ ขณะเดียวกันประธานาธิบดีทรัมป์ก็มีความขัดแย้งกับธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่ไม่ยอมลดดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ

เวลานี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งในอเมริกาและในไทยเริ่มซบเซา เพราะต้นทุนดอกเบี้ยสูง ทำให้บริษัทบางแห่งในสหรัฐฟ้องล้มละลายตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงภาระหนี้สิน

ผู้ประกอบการไทยต้องอดทน

นายประมุข ได้ให้ข้อแนะนำแก่ผู้ประกอบการไทยในสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวนว่า ควรเน้นความ “อดทน” โดยรอจังหวะที่เหมาะสมในการดำเนินธุรกิจ

“ถ้าหาไม่ได้ก็ต้องประหยัดและอดทน รอโอกาส ขอภาวนาให้ทุกคนอยู่ด้วยสติ เพราะถ้าเรามีสติ มันมีทางออกเสมอครับ”นายประมุข กล่าว