กิตติพงษ์ เตือนอย่าใช้วิธีเดิม ปลดล็อกวิกฤตการเมืองไทย
ศาสตราจารย์พิเศษ กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรมโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ตั้งคำถามว่า "ประเทศไทยต้องเสียโอกาสอีกกี่ครั้งถึงจะรู้ว่าวิธีเดิมไม่แก้ปัญหา" พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาการเมืองด้วยการใช้หลักธรรมาภิบาลและนิติธรรม
ศาสตราจารย์กิตติพงษ์ระบุว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เสียงไม่พอใจต่อรัฐบาลและระบบการเมืองดังก้องขึ้นเรื่อยๆ จากบทสนทนาในวงเล็กสู่เวทีสาธารณะ จากคำเรียกร้องให้ลาออกเริ่มนำไปสู่บรรยากาศที่ทำให้หลายคนนึกถึงการรัฐประหารอีกครั้ง พร้อมตั้งคำถามหลักว่า "คำถามไม่ใช่แค่ 'จะเกิดอะไรขึ้นอีก' แต่คือ 'ทำไมเรายังออกจากวังวนเดิมไม่ได้เสียที?'"
"เราเคยผ่านจุดนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เปลี่ยนตัวละคร เปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนคำปราศรัย แต่เรื่องเล่ายังคงเป็นเรื่องเดิม—ประเทศที่วนเวียนอยู่กับความขัดแย้งแบบไม่รู้จบ" ศาสตราจารย์กิตติพงษ์เขียน
ศาสตราจารย์กิตติพงษ์มองว่า การพูดถึงการเปลี่ยนแปลงมักยกเอาประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญมาเป็นธงนำ แต่กลับไม่ค่อยพูดถึงอีกสองคำสำคัญ คือ "ธรรมาภิบาล" และ "หลักนิติธรรม"
ศาสตราจารย์กิตติพงษ์อธิบายว่า ธรรมาภิบาลคือการใช้อำนาจอย่างโปร่งใส มีความรับผิดชอบ และเปิดรับเสียงของประชาชน ส่วนหลักนิติธรรมคือการที่กฎหมายควบคุมอำนาจ ไม่ใช่ปล่อยให้อำนาจควบคุมกฎหมาย
"ทั้งสามคำ—ประชาธิปไตย ธรรมาภิบาล และหลักนิติธรรม—จึงไม่ควรถูกแยกจากกัน แต่ควรถูกนำมาทำความเข้าใจร่วมกันในฐานะโครงสร้างเดียวกัน ที่ทำให้ประเทศก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืน"
ศาสตราจารย์กิตติพงษ์เชื่อว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่ถูกมองข้ามในนโยบายสาธารณะคือ "Civic Education" หรือการเรียนรู้เพื่อความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย
ศาสตราจารย์กิตติพงษ์ยกตัวอย่างประเทศฟินแลนด์ เยอรมนี เกาหลีใต้ และไต้หวัน ที่การศึกษาพลเมืองไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมของพลเมือง
"พวกเขาเรียนรู้ตั้งแต่เด็กว่าจะตั้งคำถามกับอำนาจอย่างไร รับฟังความเห็นต่างอย่างไร และมีหน้าที่ต่อส่วนรวมอย่างไร ต่างจากประเทศไทยซึ่งยังขาดกระบวนการเรียนรู้เช่นนี้อย่างเป็นระบบ"
ศาสตราจารย์กิตติพงษ์เสนอให้สร้าง "พื้นที่เรียนรู้" ที่ทำให้คนไทยทุกช่วงวัยเข้าใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง เป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนทั้งสังคม ตั้งแต่นักเรียน คนทำงาน ข้าราชการ นักการเมือง ผู้มีอำนาจระดับสูง รวมถึงนักประชาธิปไตยที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนท้องถนน
เป้าหมายคือให้คนไทยทุกคนตระหนักว่าบทบาทของตนในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่ "ผู้ถูกปกครอง" แต่คือ "เจ้าของอำนาจอธิปไตย" อย่างแท้จริง
ศาสตราจารย์กิตติพงษ์เตือนว่า การชุมนุมที่เกิดขึ้นในเวลานี้เป็นสัญญาณของพลังที่กำลังผลักดันเพื่ออนาคตที่ดีของประเทศ แต่ควรระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่นำไปสู่การรัฐประหาร ซึ่งถูกพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน
"ประชาธิปไตยที่ไม่มีระบบตรวจสอบ ไม่มีธรรมาภิบาล และไม่มีหลักนิติธรรม ก็ไม่ต่างจากเวทีที่เปลี่ยนตัวแสดง แต่บทเดิมไม่เคยถูกเขียนใหม่"
ศาสตราจารย์กิตติพงษ์ตั้งคำถามว่า "ประเทศไทยจะต้องเสียโอกาสอีกกี่ครั้ง ก่อนที่เราจะยอมรับตรงๆ ว่า วิธีเดิมๆ ไม่เคยช่วยแก้ปัญหาอย่างแท้จริง"
ศาสตราจารย์กิตติพงษ์สรุปว่า หากประเทศไทยไม่กล้าเปลี่ยนแนวทางและยังใช้วิธีการเดิม ประเทศไทยยังคงเดินเป็นวงกลมกลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้ง โดยเน้นว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิดและระบบความเข้าใจของคนในทุกระดับของสังคม