คปภ. ปรับเกณฑ์สำรองเบี้ยประกันภัย-เงินกองทุนสู่มาตรฐานสากล เริ่ม 31 ธ.ค. 68
สำนักงาน คปภ. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณสำรองเบี้ยประกันภัยสำหรับสัญญาประกันภัยระยะสั้น และทบทวนการคำนวณเงินกองทุนด้านความเสี่ยง โดยเน้นการพิจารณาข้อมูลเชิงลึกในแต่ละประเภทการรับประกันภัย เตรียมพร้อมบังคับใช้จริงสิ้นปี 2568 นี้
นายอาภากร ปานเลิศ รองเลขาธิการ ด้านกำกับธุรกิจประกันภัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ได้ปรับปรุงแนวทาง การคำนวณสำรองเบี้ยประกันภัยสำหรับสัญญาประกันภัยระยะสั้น พร้อมทั้งทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุน ด้านความเสี่ยง เพื่อยกระดับความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันภัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยมุ่งเน้นการพิจารณาข้อมูลในระดับประเภทการรับประกันภัยแทนการพิจารณาภาพรวมทั้งบริษัท เพื่อให้การประเมินภาระผูกพันและ การจัดสรรเงินกองทุนมีความละเอียด แม่นยำ และสอดคล้องกับลักษณะความเสี่ยงที่แท้จริงยิ่งขึ้น โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 31 ธันวาคม 2568
“โดย คปภ. มุ่งเน้นการพิจารณาข้อมูลในระดับประเภทการรับประกันภัย แทนการพิจารณาภาพรวมทั้งบริษัทแบบเดิม เพื่อให้การประเมินภาระผูกพันและการจัดสรรเงินกองทุนมีความละเอียด แม่นยำ และสอดคล้องกับลักษณะความเสี่ยงที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น”
ทั้งนี้ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงประกาศที่เกี่ยวข้องกับสำรองเบี้ยประกันภัย ประกอบด้วย
- ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการส่งรายงานประจำปีการคำนวณความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย
- ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการส่งรายงานประจำปีการคำนวณความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันชีวิต
- ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดประเภทและชนิดของเงินกองทุน รวมถึงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการคำนวณเงินกองทุนของบริษัทประกันวินาศภัย
นายอาภากร กล่าวว่า สาระสำคัญของการปรับปรุงคือ การเปลี่ยนแปลงวิธีการคำนวณสำรองเบี้ยประกันภัยและเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงจากสำรองเบี้ยประกันภัย จากเดิมที่พิจารณาจากผลรวมทั้งหมดของสัญญาประกันภัยระยะสั้น มาเป็นการพิจารณาในระดับประเภทการรับประกันภัยเป็นหลัก ซึ่ง สำนักงาน คปภ. จะเผยแพร่ประกาศฉบับเต็มอย่างเป็นทางการในลำดับถัดไป เพื่อให้บริษัทประกันภัยและผู้ที่เกี่ยวข้องมีเวลาเตรียมความพร้อมในการดำเนินการให้สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ใหม่ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป