นโยบายภาษีทรัมป์เปลี่ยนเกมการค้าโลกอย่างไรในปี 2025
เมื่อทรัมป์ประกาศภาษี ไทยต้องเตรียมรับมือเกมใหม่ของโลกการค้า
การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 คือสัญญาณชัดเจนว่าระบบการค้าโลกกำลังก้าวเข้าสู่บทใหม่อีกครั้ง ในจดหมายทางการที่ส่งถึงรัฐบาลไทย ทรัมป์ยืนยันอัตราภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากประเทศไทยที่ 36 เปอร์เซ็นต์ โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ถือเป็นการดำเนินนโยบายอย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังกลับเข้าสู่ทำเนียบขาว พร้อมกับแนวคิดปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศผ่านกลไกภาษีที่เข้มข้น
แม้จะไม่ใช่การประกาศขึ้นภาษีต่อประเทศไทยเพียงประเทศเดียว แต่นี่คือระดับภาษีที่สูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวียดนามที่อัตราภาษีถูกลดลงเหลือเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ ไทยจึงกำลังเผชิญข้อเสียเปรียบในการแข่งขันโดยตรงในตลาดสหรัฐฯ และอาจต้องทบทวนยุทธศาสตร์ส่งออกครั้งใหญ่ในระยะเวลาอันใกล้
เกมเจรจาที่ยังไม่จบ
ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันเดียวกัน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รายงานต่อที่ประชุมว่าการเจรจากับฝ่ายสหรัฐฯ ยังคงดำเนินอยู่ โดยข้อเสนอจากฝ่ายไทยได้รับการตอบรับในบางส่วน แต่ยังไม่สามารถตกผลึกได้ทั้งหมด ท่าทีจากวอชิงตันครั้งนี้จึงอาจมองได้ว่าเป็นการเปิดช่องให้ทั้งสองฝ่ายมีเวลาปรับจูนจุดยืนให้ลงตัวภายในเดือนกรกฎาคม ก่อนที่มาตรการภาษีจะเริ่มบังคับใช้จริงในเดือนถัดไป
ในมุมของรัฐบาลไทย การเข้าสู่โต๊ะเจรจาถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะพยายามลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหลักที่มีสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับต้น ๆ ขณะที่ฝ่ายการคลังยังยืนยันว่าจะใช้เวลาเท่าที่จำเป็นเพื่อหาข้อสรุปที่อยู่บนฐานของผลประโยชน์ร่วม ไม่ใช่การยอมจำนนทางการค้า
งบเยียวยาและมาตรการรองรับ
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลได้กันงบประมาณไว้ล่วงหน้าเพื่อใช้ดูแลกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโครงสร้างภาษีใหม่ วงเงินเฟสแรกอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงบกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 และยังมีวงเงินสำรองอีก 40,000 ล้านบาท สำหรับกรณีฉุกเฉินหากการเจรจาไม่บรรลุผลหรือสถานการณ์ยืดเยื้อเกินความคาดหมาย
อย่างไรก็ตาม การใช้เงินเหล่านี้ยังไม่เริ่มต้นจนกว่าผลการเจรจาจะชัดเจน โดยรัฐบาลเน้นวางหลักเกณฑ์ให้สามารถช่วยเหลือได้ตรงจุดในทั้งสองภาค คือ ภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาษีนำเข้า และภาคเกษตรที่เกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่อุปทาน
คำถามใหญ่คือ หากการเจรจาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีได้ทันเวลา งบเยียวยาเหล่านี้จะสามารถประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นแรงกระแทกในระยะสั้นได้จริงหรือไม่
การปรับตัวของภาคธุรกิจท่ามกลางความกดดัน
ข้อมูลจากผลสำรวจ UOB Business Outlook Study 2025 สะท้อนภาพการตื่นตัวของภาคธุรกิจไทยต่อแรงกดดันจากภาษีนำเข้า โดยตัวเลขความเชื่อมั่นลดลงจาก 58 เปอร์เซ็นต์เหลือ 52 เปอร์เซ็นต์ หลังข่าวการเก็บภาษีปรากฏในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
แม้จะมีความกังวลชัดเจน แต่ธุรกิจไทยส่วนใหญ่กลับแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มเชิงรุกในการปรับตัว หลายกิจการเริ่มมุ่งขยายตลาดใหม่ภายในภูมิภาคอาเซียน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม รวมถึงบางรายที่เริ่มหันกลับมาให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศมากขึ้น ในขณะเดียวกัน มีแนวโน้มเพิ่มการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อจัดการห่วงโซ่อุปทาน และพัฒนาแนวทางด้านความยั่งยืนผ่านกลยุทธ์ ESG
ประเด็นที่น่าจับตาคือ ภาคธุรกิจขนาดกลางจำนวนไม่น้อยเริ่มวางแผนใช้พลังงานหมุนเวียน และหันมาออกแบบองค์กรให้สอดรับกับความคาดหวังของผู้บริโภครุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น
ปัญหาแรงงานและความพร้อมในการเปลี่ยนผ่าน
แรงงานยังคงเป็นปัจจัยท้าทายที่สุดสำหรับหลายธุรกิจ โดยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ระบุว่ายังขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ และมีปัญหาในการรักษาพนักงานไว้ในองค์กร ยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน และตลาดแรงงานมีแรงดึงดูดจากหลายทิศทาง การรักษาคนจึงกลายเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนมากขึ้น
ในเวลาเดียวกัน เทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเฉพาะระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ก็กำลังเข้ามามีบทบาทในองค์กรหลายแห่ง ไม่ใช่เพียงเพื่อทดแทนแรงงานเท่านั้น แต่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนงานต่าง ๆ เช่น การจัดการข้อมูล การบริหารสต๊อกสินค้า หรือแม้แต่การให้บริการลูกค้า
สิ่งที่ปรากฏจากแนวโน้มนี้คือ ภาคธุรกิจไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจากการปรับตัวเชิงรับไปสู่การปรับโครงสร้างเชิงรุก เพื่อลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง และเพิ่มภูมิคุ้มกันในยุคที่กฎเกมการค้าเปลี่ยนแปลงเร็วและรุนแรงกว่าที่เคย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ทองลงต่อนักลงทุนคลายกังวล สงครามการค้า สหรัฐฯ -ยุโรป
- ทองเริ่มย่อตัว ทดสอบแนวรับสำคัญ 3,310 ดอลลาร์
- ทองคำปรับขึ้นแรงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ได้รับปัจจัยหนุนเงินดอลลาร์อ่อนค่า นักลงทุนจีนเข้าซื้อทองคำอย่างคึกคัก
- ราคาทองหลุด 3,270 ดอลลาร์ เข้าสู่ช่วงขาลง รอประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ คืนนี้
- ทองฟื้นตัวแรง ดอลลาร์อ่อนค่า เจรจาการค้า สหรัฐ-จีน คาดยืดเยื้อ