จากความยั่งยืนสู่ “ธุรกิจเชิงฟื้นฟู” ทางรอดในยุคโลกรวน
ในยุคที่ทรัพยากรโลกลดน้อยลงและถูกจำกัดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาสิ่งแวดล้อมกลายเป็นความท้าทายสำหรับการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง ความยั่งยืนจึงไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นทางรอด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสำหรับการเปลี่ยนแปลง แต่ปัจจุบันความยั่งยืนอาจไม่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ และเป้าหมายต่อไปคือการมุ่งสู่การดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูโลกที่เสียไป
เวทีเสวนาในหัวข้อ Beyond Sustainability: How Regenerative Business secures Our Future ในงาน GCNT Expo 2025 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 29-31 กรกฎาคม 2568 ณ True Digital Park ได้หยิบยกหัวข้อการดำเนินธุรกิจเชิงฟื้นฟูจะทำให้อนาคตของเรามั่นคงได้อย่างไร ภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ อพท. คุณชยาธร ฉันท์เรืองวณิชย์ หุ้นส่วน PwC ประเทศไทย และคุณฟุกุยะ อิโนะ ผู้แทนสำนักงานระดับภูมิภาคของ UNIDO ในประเทศไทย ร่วมพูดคุยในประเด็นดังกล่าวพร้อมแบ่งปันมุมมองและแนวทางการดำเนินในอนาคต
ก้าวข้ามธุรกิจยั่งยืนสู่ธุรกิจเชิงฟื้นฟู
ในโลกที่ความยั่งยืนเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการดำเนินธุรกิจ มุ่งเน้นไปที่การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม แต่ในยุคปัจจุบันอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เมื่อทรัพยากรธรรมชาติถูกใช้จนร่อยหรอลงและยากที่จะกลับแก้ไขได้ การดำเนินธุรกิจเชิงฟื้นฟูจึงเป็นหนทางใหม่ในการแก้ปัญหา เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ แต่ขณะเดียวกันยังยังสามารถเดินหน้าไปพร้อมกับการสร้างกำไรได้ โดยมุมมองของคุณศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ได้ยกตัวอย่างกรณีพื้นที่เกาะช้างซึ่งเป็นเป็นพื้นที่สำหรับการท่องเที่ยวระดับโลก แต่กลับประสบปัญหาขยะตกค้างจำนวนมากตามมา จากข้อมูลระบุว่าเกาะช้างมีขยะตกค้างในพื้นที่เกาะถึงปีละ 40,000-50,000 ตัน แม้จะมีการจัดการขยะที่ดี แต่ตัวเลขกลับไม่ได้ลดลงมากนัก เนื่องจากมีขยะเกิดใหม่ทุกวันไม่ทันต่อการกำจัด ดังนั้นการแปรรูปขยะจึงเป็นแนวทางที่ถูกหยิบยกขึ้นมาแก้ปัญหา โดยเปลี่ยนจากรูปแบบฟื้น สร้าง และยั่งยืน สู่การปรับ ลด และชดเชย คือการปรับตัว ลดการใช้งาน และชดเชยคาร์บอนเครดิตเพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ
ธุรกิจเชิงฟื้นฟูคือความท้าทายครั้งใหม่
โลกของเรากำลังนับถอยหลังสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างที่ไม่อาจหวนคืนกลับมาได้ การดำเนินธุรกิจเชิงฟื้นฟูจึงมีความท้าทายมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ซึ่งคุณชยาธร ฉันท์เรืองวณิชย์ หุ้นส่วน PwC ประเทศไทย ได้ให้มุมมองในการดำเนินธุรกิจเชิงฟื้นฟูโดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน คือ
กลุ่มที่ 1 กลุ่มธุรกิจที่ไม่สนใจด้านสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นการทำธุรกิจเพียงอย่างเดียว
กลุ่มที่ 2 กลุ่มธุรกิจที่ดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมเล็กน้อย รับรู้ถึงความเสี่ยงและโอกาสทางการค้าที่อาจสูญเสียไป
กลุ่มที่ 3 กลุ่มธุรกิจที่ให้ความสำคัญและดำเนินการมุ่งเน้นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero)
กลุ่มที่ 4 กลุ่มธุรกิจที่ให้ความสำคัญและดำเนินการมุ่งเน้นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) รวมถึงให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศเพื่อลดผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
แต่ธุรกิจเชิงฟื้นฟูนั้นมีการตีความแตกต่างกันในหลายภาคส่วน ทำให้ขาดกรอบกฏหมายที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินงานให้มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคทั้งในด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ความรู้ความเข้าใจ แหล่งเงินทุน รวมถึงการวัดผลที่มีประสิทธิภาพแม่นยำ ซึ่งการดำเนินธุรกิจเชิงฟื้นฟูจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาที่ยาวนานกว่าปกติ ซึ่งขัดการหลักการทำธุรกิจที่ต้องเห็นผลในระยะสั้น ดังนั้นธุรกิจเชิงฟื้นฟูจึงจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งในเรื่องของนโยบายและองค์ความรู้เพื่อการปรับเปลี่ยนแนวคิดการใช้ทรัพยากรไปสู่แนวคิดเชิงฟื้นฟู เพื่อสร้างโอกาสในการเชิงบวกให้กับการดำเนินธุรกิจเชิงฟื้นฟูให้มากที่สุด
นิวซีแลนด์-คอสตาริกา-อินเดีย ตัวอย่างที่จับต้องได้
ในปัจจุบันแม้ว่าความยั่งยืนอาจไม่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง แต่ก็จำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับการทำธุรกิจเชิงฟื้นฟู เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กรต่อไปในอนาคต โดยคุณชยาธร ฉันท์เรืองวณิชย์ หุ้นส่วน PwC ประเทศไทย ยกตัวอย่างของการทำเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูในประเทศนิวซีแลนด์ ที่เน้นความหลากหลายทางชีวภาพ ผสมผสานกับเกษตรกรรมแบบบูรณาการ และปรับปรุงความเชื่อมโยงทางนิเวศวิทยา โดยภาครัฐมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนด้านองค์ความรู้ ลงถึงถึงประเภทของต้นไม้ท้องถิ่น และการเลี้ยงสัตว์แบบหมุนเวียน ควบคู่กับการใช้ประโยชน์จากดินอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ขณะที่รัฐบาลคอสตา ริกา ให้การสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวในชุมชน สร้างแรงจูงใจด้วยเงินสนับสนุนกับคนท้องถิ่นเพื่ออนุรักษ์ป่าและเรียนรู้การฟื้นฟูธรรมชาติผ่านโครงการต่างๆ ทั้งการปลูกป่า การฟื้นฟูแนวปะการัง และการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน ขณะเดียวกันชุมชนท้องถิ่นสามารถสร้างรายได้ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน
ส่วนที่อินเดีย ภาครัฐมีการดำเนินงานในหลายโครงการที่ให้ความสำคัญและส่งเสริมเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู มุ่งเน้นการทำเกษตรแบบธรรมชาติ ลดการพึ่งพาสารเคมีในดิน จนสามารถฟื้นฟูสภาพดินและรักษาความสมดุลทางระบบนิเวศ ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน
อนาคตของประเทศไทยกับธุรกิจเชิงฟื้นฟู
จากตัวอย่างที่ถูกหยิบยกมานั้นจะเห็นได้ว่าปัจจัยสำคัญอยู่ที่การสนับสนุนและความร่วมมือของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ส่งเสริมธุรกิจเชิงฟื้นฟูในด้านต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่มากมายและหลากหลาย แต่หากใช้จนเกินขีดจำกัดย่อมส่งผลกระทบในระยะยาว การฟื้นฟูจึงเป็นขั้นกว่าของความยั่งยืนที่จะช่วยลดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศได้ สิ่งสำคัญคือการกำหนดนโยบายในการขับเคลื่อนผู้ประกอบการได้มีแนวทางดำเนินงาน ซึ่งคุณฟุกุยะ อิโนะ ผู้แทนสำนักงานระดับภูมิภาคของ UNIDO ในประเทศไทย มองว่าจะต้องเป็นแนวทางที่ไม่จำกัดแนวคิด รวมถึงสามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยโลกฟื้นฟูได้อย่างยั่งยืน ทั้งหมดนี้ไม่ได้ช่วยเพียงแค่ช่วยปกป้องธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจตั้งแต่ชุมชนไปจนถึงระดับประเทศอีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง