‘สมศักดิ์’ ชวนบอร์ด สปสช. ลงพื้นที่นับคาร์บ กทม. ไฟเขียว 3 หน่วยบริการใหม่
“สมศักดิ์” ชวนบอร์ด สปสช. ลงพื้นที่นับคาร์บ กทม. ร่วมรับฟังปัญหาการบริหารจัดการ เผย มติบอร์ด ไฟเขียวเพิ่มหน่วยบริการมาตรา 3 “มิตรภาพบำบัด–ฟื้นฟูผู้ใช้ยา–พัฒนาทักษะคนหูหนวก”
1 กันยายน 2568 - นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเป็นประธาน การประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ว่า ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมได้แจ้งต่อที่ประชุมถึงการรณรงค์การนับคาร์บและคลีนิก NCDs รักษาหาย จากข้อมูล 1 มี.ค.- 24 ส.ค.68 นับคาร์บไปแล้ว 42,206,405 คน เข้ารับการรักษา NCDs 267,847 คน ประหยัดค่ารักษาแล้ว 787.94 ล้านบาท ต่อปี พร้อมรายงานการดำเนินการนับคาร์บในเขตเมืองพื้นที่ กทม. ตั้งแต่ 15 -18 ส.ค.จัดแล้ว 11 เวที มี อสส.ร่วมกิจกรรมกว่า 4,000 คน จาก 34 เขต คาดว่าจะเปิดอีก 2 เวที ตามเวลาที่ทำงานได้ ทั้งนี้ การเปิดเวทีแต่ละครั้ง ได้รับเรื่องร้องเรียนมากมาย ถึงปัญหาการบริหารจัดการใน กทม.ก็อยากให้ บอร์ดเข้าร่วมกิจกรรมด้วย
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบข้อเสนอการกำหนดให้องค์กรภาคประชาชน องค์กรเอกชน หรือหน่วยงาน เป็นสถานบริการสาธารณสุขอื่น ที่คณะกรรมการกำหนดเพิ่มเติม ตามมาตรา 3 แห่งพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ในบริการ 3 ประเภท ดังนี้ 1.บริการมิตรภาพบำบัด 2.บริการสำหรับผู้ใช้สารเสพติด และ 3.บริการพัฒนาทักษะการสื่อสารเพื่อการดำรงชีวิตอิสระสำหรับคนหูหนวก พร้อมเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง กำหนดสถานบริการสาธารณสุขอื่นเป็นสถานบริการตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. …. โดยมอบให้ สปสช. ดำเนินการตามกระบวนการของสำนักงาน และเสนอ รมว.สาธารณสุข พิจารณาลงนาม ตลอดจนให้ สปสช. จัดทำระบบการกำกับติดตามและประเมินผลลัพธ์การดำเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไป
ทั้งนี้ การพิจารณาดังกล่าวเป็นผลจากมติ บอร์ด สปสช. ครั้งที่ 2/2563 (3 ก.พ. 63) ที่เห็นชอบแนวการพิจารณากำหนดเป็นสถานบริการสาธารณสุขอื่นตามมาตรา 3 แห่ง โดยให้องค์กรหรือหน่วยงานที่ให้บริการสาธารณสุขตาม มาตรา 3 ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของ พ.ร.บ.สถานพยาบาลฯ ร่วมขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการสาธารณสุขอื่น ได้ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการได้ การอนุมัติข้อเสนอทั้ง 3 ด้านนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อเข้ามาเสริมการทำงานของระบบบัตรทองและช่วยเติมเต็มช่องว่างในการให้บริการแก่กลุ่มประชาชนที่มีความต้องการเฉพาะทางอย่างทั่วถึง สอดรับกับนโยบายรัฐบาล 30 บาทรักษาทุกที่
ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า บริการทั้ง 3 ประเภท ถือเป็นหน่วยบริการทางเลือกในระบบบัตรทอง เพื่อช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการเฉพาะด้านให้กับประชาชน เริ่มจาก “บริการมิตรภาพบำบัด” จัดตั้งขึ้นภายใต้แนวคิด "เพื่อนช่วยเพื่อน" (Peer support) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและต่อเนื่อง ทั้งที่บ้านและในชุมชน ครอบคลุมกลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง โรคเรื้อรัง เช่น ไตวายและเบาหวาน โรคเลือด โรคหายาก ผู้ป่วยจิตทุเลา เป็นต้น โดยให้บริการ อาทิ ให้คำปรึกษา แลกเปลี่ยนข้อมูลและทักษะการดูแลตนเอง ให้กำลังใจกัน และประสานงานกับบุคลากรทางการแพทย์
ต่อมาคือ “บริการสำหรับผู้ใช้สารเสพติด : ลดอันตรายและฟื้นฟูต่อเนื่อง” มีเป้าหมายให้ผู้ใช้สารเสพติดได้รับการฟื้นฟูและติดตามผลอย่างต่อเนื่องหลังบำบัดรักษา เนื่องจากปัจจุบันพบว่ากว่า 2 ใน 3 ของผู้ใช้สารเสพติดและผู้ที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาเสพยาซ้ำ ซึ่งขอบเขตบริการจะครอบคลุมบริการฟื้นฟูสมรรถภาพ บริการลดอันตรายโดยชุมชนและการดูแลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน รวมถึงการค้นหาและคัดกรอง การให้คำปรึกษา การสอนทักษะชีวิต การติดตามเยี่ยมบ้าน และการส่งต่อผู้ป่วยเมื่อเกินศักยภาพ
นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า บริการประเภทสุดท้ายคือ “บริการทักษะการสื่อสารสำหรับคนหูหนวก” ข้อเสนอนี้เพื่อการดำรงชีวิตอิสระ เกิดจากคนหูหนวกที่ไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่น ทำให้ไม่สามารถเข้ารับบริการสุขภาพ ไม่กล้าที่จะเข้าสู่สังคม ขาดทักษะในการดำรงชีวิตอิสระ คนหูหนวกไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษามือ จึงทำให้เกิดปัญหาการสื่อสารปัญหาสุขภาพทั้งทางกาย สุขภาพจิตต่อบุคลากรสุขภาพ ดังนั้น บอร์ด สปสช. จึงเห็นชอบให้ขยายขอบเขตการจัดบริการพัฒนาทักษะการสื่อสารเพื่อการดำรงชีวิตอิสระสำหรับคนหูหนวก โดยเปิดโอกาสให้ศูนย์บริการคนพิการทั่วไปและองค์กรคนพิการที่ได้รับการรับรอง สามารถเข้ามาเป็น “สถานบริการอื่น” ตามมาตรา 3 เพื่อร่วมให้บริการคนพิการทางการได้ยินและการสื่อความหมายทุกกลุ่มวัย โดยเน้นบริการฟื้นฟูทักษะการสื่อสารตามมาตรฐานของสถาบันราชสุดาฯ มหาวิทยาลัยมหิดล เช่น การใช้ภาษามือ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสุขภาพ และการดูแลสุขภาพกาย–จิตในระดับพื้นฐาน
“ย้ำว่า หน่วยบริการทั้ง 3 ประเภทนี้ จะต้องมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนตามที่กำหนด คือ ต้องไม่เป็นองค์กรหรือหน่วยงานภายใต้กำกับของ พ.ร.บ.สถานพยาบาล และต้องมีประสบการณ์ในการให้บริการตามประเภทหน่วยบริการมาแล้วไม่น้อยว่า 1 ปี นอกจากนี้ยังต้องได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบุคลากรผู้ให้บริการจะต้องผ่านการอบรมหรือหลักสูตรการให้บริการ ตามเกณฑ์การให้บริการของหน่วยบริการแต่ละประเภท ทั้งนี้เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับการบริการอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน” เลขาธิการ แจ้ง สปสช. กล่าว.