ทุเรียนกัมพูชาล็อตแรกบุกจีน จุดกระแส ‘การทูตผลไม้’ ชิงตลาดไทย-เวียดนาม
ท้องฟ้าเหนือมณฑลเหอหนานตอนกลางของจีนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ได้มีเพียงเที่ยวบินโดยสารประจำวัน แต่ยังมี “เที่ยวบินพิเศษ” ที่บรรทุกทุเรียนกัมพูชาสดใหม่หนัก 2 ตัน เดินทางตรงถึงจีนภายในเวลาเพียง 4 ชั่วโมงด้วยระบบขนส่งห่วงโซ่ความเย็น(Cold Chain Logistics) เส้นทางนี้นับเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ “คอร์ริดอร์อากาศ” สำหรับผลไม้สดระหว่างสองประเทศ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคชาวจีนได้ลิ้มรสทุเรียนราวกับเพิ่งหลุดจากต้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของเส้นทางอากาศตรงสำหรับผลไม้สดระหว่างสองประเทศ
การส่งออกครั้งนี้ทำให้ทุเรียนกลายเป็นผลไม้สดชนิดที่ 5 ของกัมพูชาที่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ตลาดจีนโดยตรง ต่อจากกล้วย มะม่วง ลำไย และมะพร้าว นอกจากจะเป็นหมุดหมายสำคัญด้านการค้าเกษตรแล้ว การส่งออกทุเรียนของกัมพูชาในครั้งนี้ยังสะท้อนการยกระดับประสิทธิภาพพิธีการศุลกากรระหว่างสองชาติ ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรกัมพูชาระบุว่าประเทศมีพื้นที่ปลูกทุเรียนกว่า 11,000 เฮกตาร์ ผลผลิตต่อปีเกิน 120,000 ตัน
แต่เบื้องหลังการขนส่งผลไม้ข้ามพรมแดนในครั้งนี้ มีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าตัวเลขทางการค้า เพราะทุเรียนกัมพูชากำลังก้าวเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่และมีการแข่งขันสูงที่สุดในโลก ภายใต้บรรยากาศที่ผู้ครองตลาดอย่างไทยและเวียดนามยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่ปักกิ่งเดินหน้าใช้ “การทูตผลไม้” เป็นเครื่องมือเชื่อมสัมพันธ์กับอาเซียน ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐที่ยังคงดำเนินอยู่
จีนกับ “การทูตทุเรียน” และการแข่งขันในตลาด
ปัจจุบัน จีนไม่เพียงเป็นตลาดขนาดใหญ่สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป แต่ยังถือเป็น “เวทีหลัก” และตลาดสำคัญที่สุดของราชาผลไม้แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่าง ‘ทุเรียน’ จุดเด่นของตลาดจีนอยู่ทั้งในปริมาณการบริโภคที่สูงและศักยภาพในการจำหน่ายในราคาพรีเมียม โดยทุเรียนเกรดพรีเมียมขนาด 3 กิโลกรัมในซูเปอร์มาร์เก็ตเมืองใหญ่สามารถทำราคาได้ถึง 150 หยวน หรือราว 675 บาท ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นทั้งกำลังซื้อที่แข็งแกร่งและกระแสความนิยมที่ยังไม่เสื่อมถอย
อย่างไรก็ตาม เส้นทางของทุเรียนสู่ผู้บริโภคชาวจีนไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยรสชาติที่ถูกปากเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีมิติทางการทูตเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นับตั้งแต่ปี 2002 จีนได้ทยอยเปิดตลาดให้ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคสามารถส่งออกทุเรียนได้มากขึ้น เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการเมืองกับประเทศอาเซียน
กระแสนี้ถูกขนานนามว่า “การทูตทุเรียน” เพราะมาตรการนี้ของรัฐบาลจีนไม่เพียงตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคชาวจีน แต่ยังสะท้อนถึงยุทธศาสตร์ของปักกิ่งในการกระชับสัมพันธ์กับสมาชิกอาเซียน ในช่วงที่ความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐทวีความรุนแรง
ทั้งนี้ แม้การที่กัมพูชาส่งออกทุเรียนไปจีนในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญเชิงสัญลักษณ์ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่าศักยภาพการแข่งขันของทุเรียนกัมพูชายังมีข้อจำกัด
“กำลังการผลิตยังน้อยเกินไปที่จะสู้กับไทยหรือเวียดนามได้ นี่เป็นเพียงท่าทีทางการทูตเชิงมิตรภาพมากกว่า” หวง ต้าเผิง ผู้นำเข้าผลไม้จากมณฑลเจ้อเจียงกล่าว พร้อมระบุว่า “ทั้งราคาและปริมาณไม่มีข้อได้เปรียบ จึงยังไม่มีแผนจะนำเข้าทุเรียนจากกัมพูชาเป็นจำนวนมากในตอนนี้”
ไทย-เวียดนามครองตลาด แต่ยอดนำเข้าจีนชะลอ
แม้จะเริ่มมีคู่แข่งจากภูมิภาคเดียวกันมากขึ้น ปัจจุบันตลาดทุเรียนจีนยังคงถูกครองโดยไทยและเวียดนาม โดยเฉพาะเวียดนามที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2022 ขณะที่จีนยังนำเข้าทุเรียนจากมาเลเซีย กัมพูชา และฟิลิปปินส์ในสัดส่วนที่น้อยกว่า
อย่างไรก็ตาม หลังจากการขยายตัวอย่างก้าวกระโดดในช่วงปี 2023-2024 ปริมาณการนำเข้าทุเรียนของจีนได้ปรับลดลงในปี 2025 โดยข้อมูลศุลกากรระบุว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี ปริมาณนำเข้าลดลงเกือบ 15% จากปีก่อน เหลือเพียง 708,190 ตัน ซึ่งเวียดนามมีการลดลงมากที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าผลไม้ชี้ว่า ปัจจัยสำคัญมาจากมาตรการตรวจสอบศุลกากรของจีนที่เข้มงวดขึ้น หลังจากตรวจพบโลหะหนัก เช่น แคดเมียม และสารอัลคาไลน์สีเหลืองในทุเรียนที่นำเข้าจากไทยและเวียดนาม
“ฤดูกาลนำเข้าทุเรียนเวียดนามจะมาถึงในอีกสามเดือนข้างหน้า และเราหวังว่าปริมาณนำเข้าจะฟื้นตัว” หวัง เจิ้งป๋อ ผู้ค้าทุเรียนจากเขตปกครองกว่างซีทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีนกล่าว แต่ก็เสริมว่าราคาไม่น่าจะกลับไปสูงเหมือนในช่วงพีกปี 2023-2024 เนื่องจากมีปริมาณซัพพลายในตลาดมากเพียงพอ
นอกจากนั้น ผู้บริโภคชนชั้นกลางจีนยังเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายกับผลไม้นำเข้ามากขึ้น “ฉันชอบลองผลไม้นำเข้าหลายชนิด แต่ช่วงนี้ด้วยรายได้ที่ลดลง ฉันก็ลดความถี่ในการซื้อจริง ๆ” ซู หยวี ล่ามภาษาญี่ปุ่นในกวางโจวกล่าว