ศก.อาเซียนครึ่งปีหลัง ‘เสี่ยงชะลอ’ แรงหนุนส่งออกเริ่มหมดฤทธิ์-ภาคท่องเที่ยวซบ
เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า “ประเทศในอาเซียน” กำลังเตรียมรับมือกับ “การชะลอตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี” หลังจากแรงหนุนจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าเริ่มแผ่วลง
เริ่มจาก “ไทย” ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในช่วงสามเดือนสิ้นสุดเดือนมิถุนายน ขยายตัว 2.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ลดลงจากการขยายตัว 3.2% ในไตรมาสก่อน ตามข้อมูลทางการที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
สำหรับ“การส่งออก” ซึ่งคิดเป็นราว 60% ของจีดีพีไทย เพิ่มขึ้น 12.2% โดย สศช. ระบุว่า ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเร่งส่งออกล่วงหน้า ก่อนที่ภาษีนำเข้าของสหรัฐจะมีผลบังคับใช้
สศช. คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวระหว่าง 1.8% ถึง 2.3% ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากคาดการณ์เดิมในเดือนพฤษภาคมที่ 1.3% ถึง 2.3% แต่สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี จะอ่อนแอกว่าครึ่งแรก
ด้านดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวกับผู้สื่อข่าวระหว่างการแถลงว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง ก็เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยง โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวตลอดปีจะอยู่ที่ 33 ล้านคน ต่ำกว่าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคาดการณ์ไว้ที่ 35 ล้านคน
“เราจำเป็นต้องเร่งการส่งเสริมท่องเที่ยวในช่วงครึ่งหลังของปี เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้าย ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวสูงสุด” ดนุชากล่าว
ส่วน “เวียดนาม” ในไตรมาสสอง มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุด โดยขยายตัว 7.96% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ได้แรงหนุนจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง
ขณะที่จีดีพีของ “อินโดนีเซีย” ซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ขยายตัว 5.12% เพิ่มขึ้นจาก 4.87% ในไตรมาสแรก โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง และการลงทุนที่คึกคัก ซึ่งการส่งออกของอินโดนีเซียที่พุ่งขึ้น 10.67% ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าก่อนภาษีทรัมป์จะมีผลบังคับใช้
สินค้าส่งออกหลักได้แก่ น้ำมันปาล์ม เหล็กและเหล็กกล้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และยานพาหนะ ตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติอินโดนีเซีย
ในฝั่งเศรษฐกิจ “สิงคโปร์” เติบโต 4.4% ในไตรมาสเมษายน–มิถุนายน เพิ่มขึ้นจากการขยายตัว 4.1% ในไตรมาสแรกของปี สาเหตุหลักมาจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าในช่วงพักการเก็บภาษี ทำให้เกิด “แรงหนุนชั่วคราว” ต่อการผลิตและการส่งออก ตามรายงานของกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการค้าฯ เตือนว่า ผลบวกจากการเร่งส่งออกล่วงหน้า จะจางหายไปในช่วงครึ่งหลังของปี ที่สำคัญกว่านั้น คือ ยังคงมีความไม่แน่นอนอย่างมากในเศรษฐกิจโลก
สำหรับการเติบโตของจีดีพี “มาเลเซีย” อยู่ที่ 4.4% ในไตรมาสสอง เท่ากับในไตรมาสแรก โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศ การขยายตัวของภาคการผลิตที่ต่อเนื่อง และการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางมาเลเซียได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทั้งปีลงมาอยู่ที่ 4% ถึง 4.8% จากที่เคยคาดไว้ 4.5% ถึง 5.5% โดยให้เหตุผลจากความไม่แน่นอนทางการค้า
ส่วนเศรษฐกิจ “ฟิลิปปินส์” ขยายตัว 5.5% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 5.4% ในไตรมาสก่อนหน้า
ท่ามกลางสถานการณ์นี้ ธนาคารกลางบางแห่งในภูมิภาคได้ผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพื่อกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือน โดย “ธนาคารกลางอินโดนีเซีย” ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 จุดพื้นฐาน เหลือ 5.25% ขณะที่ “ธนาคารกลางมาเลเซีย” ก็ปรับลดดอกเบี้ยลงในสัดส่วนเดียวกัน เหลือ 2.75% เมื่อเดือนที่แล้ว ส่วน “ธนาคารแห่งประเทศไทย” ก็ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ก่อน จาก 1.75% เหลือ 1.5%
แกเร็ธ เลเธอร์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำเอเชียของแคปิทอล อีโคโนมิกส์ กล่าวเกี่ยวกับธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยว่า “มีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซา จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง และแรงหนุนจากการเร่งส่งออกก่อนขึ้นภาษี ที่เริ่มจางหายไป”
“ประเทศอาเซียน ในที่สุดก็บรรลุข้อตกลงอัตราภาษีใหม่ที่ราว 19-20% แต่เป็นไปตามเงื่อนไขว่าพวกเขาต้องนำเข้าสินค้าจำนวนมากจากสหรัฐโดยปลอดภาษี นั่นอาจกลายเป็นภัยคุกคามใหม่สำหรับประเทศอาเซียนที่เศรษฐกิจยังเปราะบางอยู่” นักวิเคราะห์จากศูนย์วิจัยกสิกรไทยกล่าว
อ้างอิง: nikkei